น้ำใจ......สู้ภัยสึนามิ

Sunday, May 07, 2006

รายชื่อน้องๆที่กำพร้าคุณพ่อคุณแม่จากเหตุการณ์สึนามิ

ขอบพระคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาดููรายชื่อน้องๆ นะคะ
~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม
ที่อยู่: หมู่ที่ 2 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา 82190

1.ด.ช. เมษา เสนาสะนะ
2.ด.ญ.น้ำทิพย์ จันทร์เมือง
3.ด.ญ.สุวรรณี มลิวรรณ์
4.ด.ช.วิสุทธิ์ โสมาบุตร
5.ด.ช.ยุทธนา ชูชื่น
6.นายสรศักดิ์ ยังมีมาด
7.ด.ช.อานนท์ ทองศรีแก้ว
8.ด.ญ.สุวรรณี กล้าทะเล
----------------------------------------------------------------
โรงเรียน บ้านหินลาด
ที่อยู่: หมู่ที่ 3 ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา 82150

1.ด.ช.มนตรี โต๊ะหลี
2.ด.ญ.นิตยา โต๊ะหลี
3.ด.ญ.ยุภาวดี โต๊ะหลี
4.ด.ช.เฉลิมเกียรติ โต๊ะหลี
----------------------------------------------------------------
โรงเรียนบ้านลำแก่น
ที่อยู่: ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา 82210

1.ด.ญ.ปนัชดา ทองสุข
2.ด.ญ.จังคนิภา ทองสุข
3.ด.ญ.สโรชา ทนทาน
4.ด.ช.โอภาส ยงประเดิม
5.ด.ช.ชูเกียรติ ทองจันทร์
6.ด.ช.สมบูรณ์ ยงประเดิม
----------------------------------------------------------------
โรงเรียนบ้านบางม่วง
ที่อยู่: ถ.เพชรเกษม หมู่ที่3 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา 82190

1.ด.ช.พิทักษ์ ชาวแพรกน้อย
2.ด.ช.ธำรงศักดิ์ ดอกจันทร์
3.ด.ญ.จันทร์จิรา เปรียบปาน
4.ด.ญ.จีรวรรณ เจษฎารมย์
5.ด.ญ.ปิยมาศ แช่มใย
6.ด.ญ.ชลธิชา คล้ายเขียว
----------------------------------------------------------------
โรงเรียน ตะกั่วป่าเสนานุกูล
ที่อยู่: หมู่ 7 ถ.เพชรเกษม ต.บางนายสี อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา 82110

1.ด.ญ.ปิยะนุช อุตตะมัง
2.ด.ช.รุ่งเรือง ตรีปัญญา
3.ด.ช.ธวัชชัย ชัยมุกข์
---------------------------------------------------------------
โรงเรียนบ้านบางเนียง

ที่อยู่: หมู่ที่ 6 ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา 82190

1.ด.ญ.วรลักษณ์ จุลเทพ
2.ด.ช.ชวาล สมุทรวารี
----------------------------------------------------------------
โรงเรียนสุทธินอนุสรณ์
ที่อยู่: 73 ถ.ศรีตะกั่ว อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา

1.ด.ญณัฎฐณิชา อมาตยกุล
2.ด.ญ.ภัทราวรรณ นรสิงห์
----------------------------------------------------------------
โรงเรียนคุระบุรีพิทยา
ที่อยู่: ถ.เพชรเกษม ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา 82150

1.นายวีระพงษ์ รามสุวรรณ
2.ด.ช.ธีระพล รามสุวรรณ
----------------------------------------------------------------

บันทึกน้ำใจหยดแรก...โรงเรียนมิลล์เวอร์ตัน ประเทศอังกฤษ

เวลาล่วงไปกับเจ้าภัยตัวร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย รอยน้ำตา และความเจ็บปวดร้าวราน ของผู้ประสบภัยยังซ่อนตัวอยู่ทุกหลืบอณูของแผ่นดินที่โดนซัดกระแทกจาก คลื่นยักษ์สึนามิ

หากแต่น้ำใจของมนุษย์ที่มีหัวใจดีๆ
ก็ยังไหลหลั่งมาชะโลมใจเพื่อนผู้ประสบทุกข์ภัย
แม้จะไม่ถาโถมมาดั่งแม่น้ำสายใหญ่
เหมือนในช่วงเวลาเมื่อเกิดเหตุใหม่ๆ
แม้เป็นเพียงหยดน้ำใจเล็กๆ ดังเช่น สายฝนปรอยๆ
หรือ อาจเป็นได้เพียงแค่......น้ำค้าง
แต่.....อย่าลืมว่าแม่น้ำสายใหญ่ก็มีวันเหือดแห้งหายไป
หากไม่มีน้ำฝน น้ำค้าง หยดเล็กหยดน้อย ร่วงหล่นมารวมกัน
เพื่อคงไว้ซึ่งแม่น้ำสายใหญ่ให้ยังอยู่........ตลอดไป
************************************
เรื่องราว... น้ำใจของผู้คนมากมายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่ดิฉันประสบพบมาด้วยตนเองในระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ จนถึงวันที่ได้ไปบ้านน้ำเค็มเมื่อ วันศุกร์ที่14 ตุลาคม 2548 และหวังว่าจะยังมีเรื่องราวดีๆ เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่ให้พวกเราได้บันทึกเก็บกันไว้ในหัวใจทุกดวงตลอดไปไม่มีวันหมดสิ้น
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.....Milverton ตอนที่1

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ มิสซิสเลทแธม คุณครูใหญ่ผู้สวยสง่าแห่ง Milveton ก็มีจดหมายฝากผ่านกับลิซซี่มาให้ดิฉันไปพบ ในทีแรกก็ตกใจ นึกว่าเจ้าลิซซี่ไปตีกับใคร เพราะเห็นบ่นๆ อยู่ว่ามีเพื่อนเกเรในห้องชอบมาแกล้ง ถึงขนาดไปขอร้องพี่แม่ครัวร้านไทยของน้าให้เอาตะหลิวไปตีหัวแก้แค้นซะอย่างงั้นล่ะ เมื่อถึงวันนัดพบ ดิฉันไปก่อนเวลาเล็กน้อย เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า คนไทยก็ตรงเวลากับเขาเป็นเหมือนกัน และที่สำคัญหากไปสายแล้วจะเอาเรื่องรถติดมาอ้างแบบตอนอยู่ในกรุงเทพฯก็คงดูกระไรอยู่ เพราะถนนบ้านเขาออกจะโล่งซะขนาดนั้น

มิสซิส เลทแธมแจ้งธุระของการพบกันในวันนี้ว่า อยากคุยเรื่องสึนามิ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายเดือนแล้ว แต่ทุกคนที่โรงเรียนก็ยังไม่ลืมเหตุการณ์นี้ และยังเชื่อว่าผู้ประสบภัยหลายๆ คนยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ หลายๆคนอาจจะค่อยๆลืมเลือนเหตุการณ์ไปทีละนิดทีละนิด ตามระยะเวลาที่ผ่านล่วง แต่ทางโรงเรียนกลับคิดว่า เหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องคอยเข้าไปช่วยเหลือเมื่อตอนเกิดเหตุใหม่ๆ เท่านั้น(ซึ่งจริงๆ ทางโรงเรียนก็ได้จัดเดินการกุศลครั้งใหญ่ช่วยเหลือไปแล้วในปลายเดือนมกราคมหลังเกิดสึนามิใหม่ๆ)

ทางโรงเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนเห็นด้วยว่าในบางจังหวะที่เรื่องราวจางหายลงไปจากความสนใจของผู้คน ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะกับเด็กกำพร้า ซึ่งทุกคนเห็นว่าเป็นปัญหาระยะยาวทั้งทางด้านจิตใจและสภาพความเป็นอยู่ (ทุกครั้งที่นึกภาพลูกสาวตัวเองต้องอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่มีพ่อแม่คอยปกป้อง มักจะทำให้ดิฉันปวดร้าวเข้าไปในหัวใจและเข้าใจความรู้สึกเด็กๆ เหล่านั้นได้อย่างไม่ยากนัก)

สมาคมผู้ปกครองและครูลงความเห็นกันว่าทางโรงเรียนมีเด็กไทยบ้องแบ๊วอยู่หนึ่งคน นั่นคือลิซซี่ จึงตัดสินใจว่าอยากเข้ามาช่วยเหลือเด็กกำพร้าในประเทศไทยก่อน(ถือเป็นการให้เกียรติเราสองคนแม่ลูกเป็นอย่างมาก) เพราะด้วยแรงกำลังของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งคงทำอะไรให้ผู้ประสบภัยไม่ได้ครบทุกคน ซึ่งดิฉันก็ได้บอกมิสซิสเลทแธมไปว่า แค่พวกเขาคิดที่จะช่วยเหลือ แม้จะเป็นแค่บางส่วน มันก็ทำให้ชีวิตหลายๆคน ย่อมถูกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ดีกว่าที่เราจะไม่ทำอะไรกันเลยในวันที่เราพอมีกำลังหรือพอแบ่งปันกันได้

ขออนุญาตเพิ่มเติมเป็นภาษาอังกฤษนิดหน่อยในสิ่งที่ดิฉันได้บอกทางโรงเรียนไปเนื่องจากบางทีภาษาอังกฤษบางคำก็บ่งบอกอะไรได้มากมายกว่าที่จะบรรยายได้ในภาษาไทย "we appreciate very much for your nice thought.It doesn't matter how much you will give.At least, it will make different for somebody's life."แค่ในตัวอักษรเข้มนี่หล่ะค่ะที่อยากสื่อออกมา คงไม่ว่ากันนะคะ

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.......Milverton ตอนที่ 2

หลังจากทราบจุดประสงค์ของมิสซิสเลทแธม คุณครูใหญ่ที่โรงเรียนลิซซี่แล้ว ดิฉันก็ได้รับมอบหมายให้ไปติดตามหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กกำพร้าที่สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปในเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ง่ายอย่างที่คิด เริ่มต้นด้วยการโทรหาเพื่อนทุกคนเท่าที่จะติดต่อได้ ทุกคนก็แนะนำให้บริจาคผ่านสภากาชาด แต่ทางโรงเรียนบอกว่า เคยบริจาคผ่านสภากาชาดไปแล้ว ตอนจัดงานเดินการกุศล ครั้งนี้พวกเขาอยากจะบริจาคโดยตรงให้กับเด็กกำพร้า

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาต้องการให้เด็กๆ นักเรียนที่โรงเรียนเขียนจดหมายไปให้เด็กกำพร้าที่เขาหลัก ด้วยหวังให้พวกเขาได้รับรู้ว่า พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเี่ดี่ยวลำพัง หากแต่ยังมีสายใยสัมพันธ์ของเพื่อนจากแดนไกลคอยส่งกำลังใจและฝากความรู้สึกห่วงใยมาให้อยู่เสมอ นอกจากนี้คุณครูใหญ่ยังขอให้ดิฉันกับลิซซี่ช่วยเดินทางไปที่เขาหลักเพื่อเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการมอบเงินช่วยเหลือ จดหมาย และสิ่งของที่จะบริจาคทั้งหมดด้วย

ณ เวลานั้น หัวใจของดิฉันรู้สึกอิ่มเอิบไปด้วยความยินดีและซาบซึ้งในความปรารถนาดีของเพื่อนมนุษย์ต่างเผ่าพันธ์เป็นยิ่งนัก "การให้" ของพวกเขามิใช่เป็นเพียง แค่ความช่วยเหลือในด้านวัตถุเท่านั้น แต่พวกเขายังตระหนักและห่วงใยในเรื่องของจิตใจเด็กน้อยเหล่านั้นด้วย ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ประมาณค่าไม่ได้เลยและเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก

_________________________
เด็กน้อยผมทอง
บรรจงจรดปากกา..
ลงบนกระดาษสีขาวบริสุทธิ์
เพื่อส่งใจให้เพื่อนตัวน้อย
ที่อยู่ในแดนไกลและหัวใจยังร้าว
สองดวงใจแม้อยู่ไกลกัน
แต่กระดาษแผ่นนั้น
จะแปรผันความไกล
ให้กลายเป็นใกล้
ฝากใจไปรักษา
ด้วยหวังว่า..........
อีกดวงใจจะคลายเจ็บ
___________________________

และเมื่อคุณครูใหญ่ถามดิฉันว่า จะเป็นการสร้างความลำบากให้ดิฉันหรือเปล่า ในการที่จะต้องไปหาข้อมูลทั้งหลาย รวมถึงการเดินทางไปเขาหลักแทนพวกเขา ดิฉันรีบตอบออกไปโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว ว่า..........."No problem at all,It is a big honour for me and I am more than happy to do that for you all"


น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.....Milverton ตอนที่ 3

Milverton House Preparatory School คือชื่อเต็มของโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ที่เข้มงวดทางด้านการเรียนการสอน รวมถึงระเบียบวินัยของนักเรียนเป็นที่สุด แค่การจดจำเรื่องเครื่องแบบนักเรียนของลิซซี่ ดิฉันก็พาลจะลมจับแล้วค่ะ

จำได้ว่า ในหนึ่งปีมีสามยูนิฟอร์ม ได้แก่ วินเทอร์ ออทั่ม และซัมเมอร์ ในหนึ่งยูนิฟอร์มยังแบ่งย่อยไปตามวันที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนเช่น วันประชุมต้องใส่สูทรของแต่ละฤดูกาล วันที่มีคลับหลังเลิกเรียน ต้องใส่ชุดให้เข้ากับคลับที่จัดไว้ึ ชุดพีอี(พลศึกษา) ก็แตกต่างกันในแต่ละฤดู รองเท้ามีสี่แบบ ต้องจำให้ได้ว่าอันไหนใส่กับยูนิฟอร์มไหน โอเวอร์โค้ท มีสองแบบ แถมยูนิฟอร์มกันฝน และหมวกต่างๆ ตามฤดูกาล

นอกจากนี้นักเรียนหญิงยังต้องติดกิ๊บกับโบว์เฉพาะที่เป็นสีขาวกับสีน้ำเงินหรือฟ้าเท่านั้น เพื่อให้เข้ากับเครื่องแบบทุกฤดู แรกๆ ดิฉันก็นึกว่าหมูในอวยค่ะ ใช้จำเอาตอนคุณครูผู้ปกครองเรียกไปประชุม ปรากฎว่า อาทิตย์แรกที่ลิซซี่ไปโรงเรียน อย่างน้อยต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งผิดกลับมา จนคุณครูฝ่ายปกครอง(ซึ่งเหมือนนายทหารหญิงคุมกองทัพยังไงบอกไม่ถูก)เรียกกระเหรี่ยงอย่างดิฉันไปตักเตือนก่อนที่จะลงโทษเด็ก คราวนี้อิฉันจำต้องพกกระดาษและปากกาไปจดยิกๆ เลยค่ะ และทุกๆเช้าหลังจากวันนั้น เราสองคนแม่ลูกก็หยิบโพยขึ้นมาประกอบในการแต่งตัวกัน จนในที่สุดเราทั้งสองก็เป็นมือโปรและไม่ต้องอาศัยโพยนั้นอีกต่อไป

การที่โรงเรียนมีนโยบายเข้มงวดเรื่องการแต่งกายนั้น ก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อฝึกนักเรียนให้เคารพในกฏระเบียบและ เป็นการฝึกวินัยขั้นพื้่นฐานให้เด็กๆ ดูแลรับผิดชอบตัวเองด้วย และนอกจากนี้ยังเข้มงวดเรื่องมารยาททางสังคม และความตั้งใจเรียนของเด็กๆ ด้วย ไม่ได้เน้นว่าต้องเก่งหรือฉลาด แต่จะปลูกฝังให้มีความรับผิดชอบและเช็คความเอาใจใส่ในการเรียนมากๆ

คุ้นคุ้นไหมค่ะว่าเหมือนระบบที่ไหนเอ่ย.......ก็โรงเรียนบ้านเราสมัยตอนดิฉันละอ่่อนอยู่นะสิคะ(ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันแล้ว) หลายๆ โรงเรียนที่บ้านเราจะมีคุณครูฝ่ายปกครองคอยดูแล ตรวจตรา การแต่งกาย ผมเผ้า ให้อยู่ในกฎระเบียบของโรงเรียนเป็นที่สุด ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกว่าบางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเลียนแบบวัฒนธรรมหรืออะไรต่อมิอะไรของฝรั่งเค้ามากนัก หลายๆ อย่างที่เราทำ ที่เรามี อาจดีอยู่แล้ว

เกริ่นมาซะยาว ก็แค่จะเข้าเรื่องว่า วันที่น่าตื่นเต้นของเด็กๆโรงเรียนนี้ ก็คือวันที่เรียกกันว่า non-uniform day ซึ่งดิฉันแปลเอาไว้ในพจนานุกรมส่วนตัว ว่าวันปล่อยผี(เด็กน่ารัก) เพราะทุกคนได้อิสระเต็มที่ในการแต่งกาย ไม่ต้องกังวลเรื่องระเบียบวินัยใดๆ ทั้งสิ้น ได้ถือกระเป๋าไปโรงเรียน กับชุดเท่ห์ๆ ของใครของมัน บางวาระของ non-uniform day ก็อาจต้องเรียนหนังสือ บางวาระก็ไม่ต้องเรียน เพราะโรงเรียนจัดงานรื่นเริงให้

ซึ่งวันพิเศษนี้ หนึ่งปีจะมีซักประมาณสองถึงสามครั้ง และในจำนวนหนึ่งครั้งของปีนี้นั้น ก็ช่างเป็นวันพิเศษสำหรับเราสองคนแม่ลูกนัก เพราะทางโรงเรียนประกาศให้มี non-uniform day เพื่อเด็กกำพร้าสึนามิในประเทศไทย และร่วมระลึกถึงเหยื่อผู้ประสบภัยในทุกประเทศด้วย

รายละเอียดของงานจะมาบันทึกในคราวหน้า วันนี้ขอตัวไปแพ็คกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเราแสนสุขใจก่อนนะคะ (อีกสามวันจะได้ทานส้มตำกับเพื่อน และน้ำพริกปลาทููฝีมือแม่ซะที....wont be long!)

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.....Milverton ตอน4

ก่อนวันงาน non-uniform เพื่อเด็กกำพร้าสึนามิในประเทศไทยนั้น คุณครูใหญ่ขอพบดิฉันอีกครั้งหนึ่ง เธอถามดิฉันว่าอยากได้อะไรเพิ่มเติมให้เด็กๆที่เขาหลักบ้าง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าสิ่งใดจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กๆ บ้าง ดิฉันคิดเรื่องนี้อยู่ในใจแล้ว จึงรีบตอบทันทีว่า น่าจะเป็นหนังสือ แต่ขอเน้นให้เป็นหนังสือเด็กเล็กมากหน่อย เนื่องจากเด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษช้ากว่าเด็กที่นี่เยอะมาก ยิ่งโดยเฉพาะแต่ละโรงเรียนที่เขาหลักซึ่งเป็นโรงเรียนต่างจังหวัด เข้าใจว่าอาจต้องการหนังสือที่เข้าข่ายสีสันสวย รูปภาพสะดุดตา น่าสนใจ และเป็นอะไรที่อ่านง่าย นั่นจะทำให้เด็กสนใจอยากอ่าน และเรียนรู้ภาษาอัีงกฤษมากขึ้น

และหากผู้ปกครองคนใดอยากเพิ่มเติมสิ่งของอย่างอื่น ก็น่าจะเป็นของเล่นประเทืองปัญญาทั้งหลายที่พวกเขาคิดว่าไม่ใช้แล้ว ส่วนเรื่องเสื้อผ้านั้นขอให้งดไป(เพื่อการประหยัดน้ำหนักในการขนส่ง) เนื่องจากมั่นใจว่าชาวไทยได้ช่วยเหลือเรื่องนี้กันอย่างเต็มที่แล้ว

หลังจากนั้นตอนเย็นพอลิซซี่กลับจากโรงเรียนดิฉันก็ได้รับจดหมายจากโรงเรียนถึงผู้ปกครองทุกคนว่า ขอให้ผู้ปกครองทุกคนให้เงินเด็กๆ มาโรงเรียน ไม่จำเป็นต้องมากแต่ขอให้นำมาอย่างน้อยคนละ หนึ่งปอนด์ เพื่อทำกิจกรรมในการบริจาคให้เด็กกำพร้า และทางสมาคมผู้ปกครองจะจัดคอนเสิร์ตสมทบทุนสนับสนุนอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ในเนื้อความของจดหมาย ยังระบุเรื่องการขอบริจาคหนังสือตามสเปคที่ดิฉันขอไปด้วยอีกต่างหาก

ขออนุญาตบอกกล่าวเพิ่มเติมตรงนี้ว่าหนังสือที่ได้รับบริจาคมาทั้งหมดนั้นเป็นหนังสือที่ดี มีคุณภาพ ผู้ปกครองบางท่านถึงกับลงทุนไปซื้อหนังสือใหม่มาให้ก็มี และเมื่อดิฉันนำไปให้ทางโรงเรียนที่เขาหลัก คุณครููได้บอกดิฉันว่า หนังสือเหล่านี้จะทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนและเด็กๆ อย่างมากทีเดียว และต่อให้ไม่เกิดสึนามิ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสหนังสือดีๆ เหล่านี้ เพราะอย่างที่เราก็ทราบๆ กันดีอยู่แล้วว่า บ้านเราขาดความเท่าเทียมกันในด้านการศึกษาขนาดไหน โรงเรียนเองก็คงไม่มีงบประมาณจะจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้เด็กๆ ได้เท่าที่ควร

และที่ดิฉันปลาบปลื้มมากที่สุดคือ เมื่อวันที่ดิฉันได้นำเงิน สิ่งของและหนังสือไปบริจาคที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็มนั้น เป็นวันที่ห้องสมุดซึ่งสมเด็จพระเทพฯประทานสร้างให้โรงเรียนเสร็จพอดี คุณครูใหญ่และนักเรียนดีใจมากและช่วยกันเก็บเข้าห้องสมุด ให้นักเรียนทุกคนได้มีโอกาสอ่านโดยทั่วถึง และหลายๆ เล่มก็จะนำไปใช้ในการสอนด้วยเช่นกัน

งานนี้ลิซซี่ดีใจเพราะมีชื่อตัวเองอยู่ในจดหมายด้วย ระบุว่าลิซซี่จะเป็นตัวแทนพวกเขาไปพบเด็กนักเรียนที่เขาหลัก

บรรยากาศวันงานจะเป็นอย่างไร ติดตามในบันทึกหน้าค่ะ

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ......Milverton ตอนจบ

non-uniform day"เพื่อเด็กกำพร้าไทยในเหตุการณ์สึนามิ"

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ณ โรงเรียนMilverton ประเทศอังกฤษ

เด็กๆ แต่งตัวกันมาน่ารักไปหมด หวาน เปรี้ยว เฮี้ยว ซ่าส์ ว่ากันไปชุดใครชุดมันตอนเช้ามีเรียนครึ่งวัน งานเริ่มตอนพักเที่ยงมีการจัดนิทรรศการรำลึกถึงผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิเห็นเด็กหลายๆ คนแสดงความสงสาร เมื่อยืนดููรููปที่บอร์ดได้ยินเสียงน้อยๆ พูดแผ่วๆ เต็มไปหมดหน้าลานนิทรรศการ

......"oh dear" "oh dear" "oh dear"
............."poor him" "poor her" "poor them"
.............."so sad" "so sad" "so sad"........

คุณครูจัดดิสโก้เธคให้ที่โรงเรียนดิฉันและพ่อแม่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ไปถึงตอนบ่ายแก่ๆ ประมาณว่าเด็กๆ สนุกสนานกันมาครึ่งทางแล้ว

คุณครููใหญ่ขึ้นมาประกาศว่า มีรายการพิเศษคือ ในวันนี้ใครอยากให้คุณครููฝ่ายปกครองขึ้นมาิแดนซ์กระจายบนเวทีบ้าง เด็กๆ ยกมือกันใหญ่ คุณครููใหญู่บอกเงื่อนไขว่า เด็กๆ ต้องทำการหย่อนสตางค์ใส่กระป๋องให้ได้ตามค่าตัวที่คุณครูููฝ่ายปกครองเรียกมาและคุณครููจะนำไปบริจาคเพื่อเด็กกำพร้านักเรียนวิ่งแจ้นไปหย่อนสตางค์กันใหญ่คงรอคอยวันที่คุณครูู(ที่ดุ และห้าว ยังกับทหารหญิง)ต้องแปลงกายมาเป็นแดนเซอร์สาวเมื่อคุณครููขึ้นไปวาดลวดลายสุดสวิงบนเวที เด็กๆ ก็ได้เฮสมใจ

ครานี้ก็เป็นคราวของครููใหญ่ที่ต้องโชว์บ้าง เด็กๆ ได้เฮอีกครั้งเมื่อคุณครููแปลงกายเป็นนักร้องสาวแห่งวง
แบลคอายส์พีส์ และมีคอรัสเป็นครููหนุ่มสามคน

เจ้าของโรงเรียนมิสเตอร์ คริส เบดแฮมมาปรากฎตัวตอนท้ายขึ้นร้องเพลง เล่นกีตาร์ เพื่อขอเงินบริจาคอีก เด็กๆ หัวเราะชอบใจกันตลอดที่มีคุณครูขึ้นไปโชว์การแสดงต่างๆ ให้ดู และสนุกสนานกันไปตามประสาวันปล่อยผี(เด็กน่ารัก)สงสารก็แต่คุณครููทุกคนที่ยอมเปลืองตัว ลงทุนกันน่าดูู เพื่อให้ได้เงินบริจาคมากที่สุด

หลังจากนั้น คุณครูใหญ่ขอเบรคความสนุกและขึ้นไปบนเวทีพร้อมประกาศให้นักเรียนทุกคนระลึกถึงผู้ประสบภัย

ครูใหญ่บอกว่า พวกเธอนั้นแสนโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยให้ความอบอุ่น ปกป้องดูแลพวกเธอมีความสนุกสนาน สะดวกสบายในวันนี้ได้เพราะมีพ่อแม่คอยจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้ในขณะที่มีเด็กอีกมากมายในโลกนี้ที่ต้องอยู่ อย่างโดดเดี่ยวลำพังแค่ความสุขใจสักเล็กน้อยสำหรับพวกเขา ก็คงหามาได้ยากนักพวกเขาคงไม่หวังอะไรมากไปกว่าการได้อ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อแม่กลับคืนมาแต่......มันจะเป็นไปได้อย่างไร พวกเขาก็คงต้องอยู่กันต่อไป ขอให้พวกเรานึกภาพ การอยู่ต่อไปของพวกเขาว่าจะยากแค้นทั้งกายใจอย่างไร

เมื่อพวกเราจินตนาการ ถึงความเจ็บปวดและความลำบากของพวกเขาได้แล้วพวกเราก็คงพร้อมที่จะให้เท่าีที่จะให้ได้ ใช่หรือไม่ถึงตอนนี้ดิฉันได้ยิน ทั้งผู้ปกครองและนักเรียนประสานเสียงออกมาพร้อมกันอย่างนุ่มนวลแต่มีพลัง ว่า "ใช่"

เมื่องานเลิกทุกคนหอบหนังสือสวยๆ ดีๆ มาให้ดิฉันเพื่อนำไปให้หลายๆโรงเรียนที่มีนักเรียนกำพร้าอยู่ พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนเข้ามาคุยด้วยน้ำใจไมตรีส่วนใหญ่จะเข้ามาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเด็กๆ เข้ามารุมล้อมถามไถ่ ว่าคนไทยเป็นอย่างไรบ้าง หลังเวลาอันเลวร้าย(อืม รู้สึกเหมือนเป็นนางสาวไทยยังไงบอกไม่ถููก ทั้งที่หน้าไม่ให้ แต่บรรยากาศพาไปซะได้)

จำได้ว่าทุกคนเข้ามาร่ำลาดิฉัน บ้างก็หอมซ้ายหอมขวา บ้างก็แตะไหล่ บ้างก็สัมผัสมือ ในขณะที่กล่าวถ้อยคำคล้ายๆ กันว่า "ฝากความรัก ความเห็นใจและพลังใจไปให้เด็กกำพร้าและผู้สูุญเสียชาวไทยทุกคนด้วย พวกเรารู้ดีว่าทุกคนเจ็บปวด"

อบอุ่นและซาบซึ้งใจแทนคนไทยมากๆ ไม่รู้ว่า จะส่งผ่านความรู้สึกนี้ถึงคนไทยคนอื่นๆ ได้อย่างไรในขณะนั้น แต่อย่างน้อย ณ เวลานี้ก็คงจะมีเพื่อนบ้านใน mblog บางส่วนได้เข้ามารับรู้อยู่บ้าง


ขอบคุณที่สละเวลากวาดสายตามารับความอบอุ่นและน้ำใจหยดเล็กๆ แต่เชื่อว่ายิ่งใหญ่ในหัวใจพวกเรา เป็นความอบอุ่นและน้ำใจไมตรีที่เพื่อนร่วมโลกในอีกมุมหนึ่งที่ห่างไกลฝากมาให้คนไทยค่ะ

บันทึก"การไปเยือน เพื่อนๆ ตัวน้อย"



น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ...ผจญภัยไปบ้านน้ำเค็ม ภาค1

เมื่อตุลาที่ผ่านมา เป็นวันหยุดครึ่งเทอมของลิซซี่น้อย ครั้งนี้เราสองคนแม่ลูกมีภาระกิจที่สำคัญซึ่งได้การรับมอบหมายมาจาก โรงเรียนMilverton ให้นำเงินและสิ่งของไปให้เด็กกำพร้าที่เขาหลัก จุดหมายปลายทางที่ต้องไปคือบ้านน้ำเค็ม เนื่องจากเราจะทำการช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็มก่อน ส่วนของและหนังสือเราจะบริจาคให้ทุกโรงเรียนที่ได้ผลกระทบจากภัยสึนามิ โดยทางโรงเรียนบ้านน้ำเค็มจะเป็นผู้ประสานจัดสรร และส่งต่อหนังสือกับข้าวของต่างๆ ให้โรงเรียนอื่นต่อไป

ดังนั้นเราสองคนแม่ลูกจึงอยู่กรุงเทพได้ไม่กี่วัน ก็มีอันต้องจรลีซะแล้ว นั่งจัดกระเป๋าไปก็บ่นไป ว่าทำไมของตูมันเยอะขนาดนี้เนี่ย คุณยายลิซซี่บอกว่า ก็ขนเข้าไปซิ พวกปลากระป๋อง น้ำพริก ยังกับกลัวว่าจะเกิดสงครามโลกอย่างงั้นแหละ แหม ก็แค่จะเอาไปกินยามคิดถึงเมืองไทยแค่นั้นเอง

มีคนบอกว่าเป็นโรคจิตปลากระป๋อง อ้าว!ก็ปลากระป๋องมันเป็นอาหารที่ทำให้ลิซซี่กิน แล้วลิซซี่มักจะบอกว่า แม่ทำกับข้าวอร่อยที่สุดในโลก เฮ้อ อย่างไรเสียก็คงต้องตัดใจเอามันออกไปแล้วหล่ะ เพราะว่าทริปนี้ ต้องขนหนังสือบริจาคจากอังกฤษ พร้อมเสื้อชุดนักเรียน อภินัันทนาการจาก เพื่อนสาวนามว่าอ้าของเรานั่นเอง แถมของเล่นจากอังกฤษที่รับบริจาคมา รวมเข้าไปก็ 3-4 กระเป๋าใหญ่เป้งๆ แถมหนักอีกต่างหาก

ทริปนี้ถือเป็นการผจญภัยจริงๆ แต่เป็นการผจญภัยไปกับสัมภาระ คือต้องขนสัมภาระทั้งหมดขึ้นเครื่อง รวมถึงข้าวของส่วนตัวด้วย เพราะจะบินกลับกันไปเลย

ปล่อยให้คุณยายร่ำลา หลานรัก ส่วนดิฉันก็นั่งวางแผนการเดินทาง นั่งคิดไปคิดมาสรุปว่าต้องบินไปลงที่่ภูเก็ต จากนั้น.......ต้องหารถเช่าไปบ้านน้ำเค็ม จากนั้่น...... ต้องไปกระบี่ต่อเพื่อเจอกับพ่อลิซซี่ที่จะไปรออยู่ที่อ่าวนางกับฮอลิเดย์ส่วนตั๊วส่วนตัว แล้วก็จบทริป ปิดครึ่งเทอมของลิซซี่ อือ ฟังดูไม่หนักหนาสาหัสอะไร

แต่ไอ้ช่วงต่อระหว่างจากบ้านน้ำเค็มไปกระบี่เนี่ยสิ จะไปยังงัยดีหล่ะ จะเหมารถอีกรอบก็ไม่รู้จะแพงแค่ไหน จะพาลูกนั่งรถทัวร์ก็ต้อง 2ถึง 3 ต่อแน่ะ

จากบ้านน้ำเค็ม.........ไปตะกั่วป่า จากตะกั่วป่า.............ไปกระบี่ จากกระบี่.................ต้องเลือกเอาสองทางว่าจะต่อเรือ .................หรือต่อรถสองแถวไปอ่าวนาง

โฮ้ย คิดแล้วปวดหัวจัง เอาไว้ก่อนดีว่า เอาแค่ไปให้ถึง บ้านน้ำเค็มก่อนล่ะกัน ทำท่าจะบ่นกับแม่อีกนิดหน่อย แม่บอกว่า หยุดเลยแก จะไปทำบุญห้ามบ่น เีดี๋ยวบุญก็ตกใจวิ่งหายลงบันไดบ้านไปก็เท่านั้น (อันนี้เป็นความเชื่อแต่หนไหนกันล่ะเนี้ย หรือแม่ฉันคิดเอาเอง) แต่สุดท้ายแม่ก็ให้กำลังใจว่า เอาเถอะ แม่อวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัยและราบรื่น แม่เชื่อว่าเราตั้งใจไปทำในสิ่งที่ดี รับรองเราคงไม่เจออุปสรรคอะไรมากมายหรอก โอเคเลยจ๊ะแม่ ขอเชื่อด้วยคน



น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ...ผจญภัยไปบ้านน้ำเค็ม ภาค2

ในที่สุดเช้าของวันศุกร์ที่14ตุลาคม2548 เราก็อยู่ไม่ห่างจากบ้านน้ำเค็มเท่าไหร่แล้ว แค่ 100 กิโลเมตรเอง แล้วงัยต่อล่ะเนี้ย หันซ้ายหันขวาหารถเช่าก็แทบจะยังไม่มีมาให้เลือกมากมายนัก เพราะยังเช้าอยู่ โชคดีที่พ่อลงมาทำธุระที่พังงาล่วงหน้าก่อนดิฉัน 1 วัน เช้านี้จึงมีหนุ่มใหญ่ใจดีมายืนเป็นเพื่อนพร้อมกระเป๋าใบใหญ่เท่าบ้าน อีก4 ใบ เด็กลูกครึ่ง อายุ 8ขวบ อีก 1 คน คุณตาลิซซี่เข้าไปเจรจาเจ้าแรก คนขับเ่ล่นขอ ตั้งสามพันเจ็ด เจ้าที่สอง หนักเข้าไปอีกบอกสี่พันถามพ่อว่า เขานึกว่าเราเหมาไปอังกฤษหรือป่าว พ่อบอกเงียบๆ อย่าพูดมากเดี๋ยวโดนยิงตาย อ้าว เป็นงั้นไป ว่าแล้วก็หลุดไปหมด รอต่ออีกนิดนึง มีชายหนุ่มเข้ามาสอบถามอีกว่าจะไปรถทัวร์ลงตะกั่วป่าแล้วต่อไปบ้านน้ำเค็มเอามั้ย เขาขายตั๋วอยู่ เราก็อยากนะ ถ้าไม่มีลิซซี่มาด้วย ตอนนี้ลิซซี่เริ่มเฉาแล้ว อีกไม่นานก็จะเหี่ยว ลงไปกองกับพื้่นแหง๋ๆ

พ่อเดินหายไปถามอีก 2-3 คนก็ยังแพงอยู่ งงเจรงๆ เอ๊ะ หรือดิฉันหน้าตาเหมือนปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ฺ เลยโก่งราคากันใหญ่เชียว (ล้อเล่นน่ะถึงเราจะไม่สวยเหมือนปุ๋ย แต่เราก็รักเด็กเหมียนกัลล์นะ ฮ้าาาา) ในที่สุัดฟ้าก็ส่งคนดีมาให้พวกเรา พ่อหนุ่ม หน้าตาท่าทางเหมือนพี่แอ๊ด คาราบาวเหลือหลาย เดินคุยมากับพ่อดิฉันประมาณว่าน่าจะตกลงราคากันด้วยดี ไม่มีนองเลือด น้องหน้าโหดแต่ใจดีบอกว่า เค้ามาจากสุราษฎร์ เห็นว่าพวกเราจะไปทำบุญที่บ้านน้ำเค็ม เลยขอเสนอตัวช่วยเหลือน้องเค้าบอกว่า เค้าเคยไปช่วยหาศพผู้ประสบภัยอยู่หลายวันและยังไม่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมผู้คนที่นั่นเลยเห็นจะเป็นบุพเพสันนิวาสของพวกเรากับน้องเค้าซะแล้วน้องเค้าบอกว่า ขอค่าน้ำมัน และค่าสึกหรอ รถ แค่2000 บาท โดยจะขับไปให้ถึงโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม แถมจะรอจนเราเสร็จธุระ จะเป็นกี่โมงก็ไม่เกี่ยง แล้วจะขับไปส่งให้ที่กระบี่ถึงโรงแรม อ่าวนาง วิลล่า เลยทีเดียว

โอ้ แม่เจ้าปวารตี ช่างดีเสียนี่กระไร(ช่วยนึกภาพดิฉันยกมือยักคอ แบบหนังอินเดียเพื่อให้ได้อารมณ์ด้วยนะคะ) ทริปนี้ดูง่ายและสั้นลงในพริบตาเดียวหลังจากพ่อหนุ่มใต้ใจดี ปรากฎกายขึ้น ดิฉันนึกขึ้นได้เรื่องแม่อวยพรมาให้ จึงบอกน้องเค้าไปว่า พวกเรามาทำบุญเลยโชคดีได้เจอน้องเค้าซึ่งเป็นคนดีมากๆ เราดีใจที่ได้รู้จักกัน.....................ขอให้ได้บุญร่วมกันนะพ่อหนุ่ม บันทึกหน้ามารู้จักพ่อหนุ่มใจดีคนนี้กัน






คลื่นชีวิต ตอนที่1

ตอนเช้าประมาณเก้าโมงของวันที่14 ตุลาคม 2548 น้องอี๊ดก็ขับรถมาส่งพวกเราอย่างปลอดภัย ณ โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม ระหว่างที่พวกเรานั่งรอคุณครูใหญ่อยู่ในอาคารห้องพักครู ดิฉันฝากลิซซี่ไว้กับคุณพ่อและเดินดูรอบๆ โรงเรียน ดิฉันออกไปยืนอยู่ข้างๆอาคารหลังเก่าที่โดนคลื่นซัดกระแทกจนเหลือให้เห็นแค่ร่องรอยความร้าวราน มองไปรอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ ดิฉันรู้สึกโหวงเหวงในหัวใจอย่างบอกไม่ถููก แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้วเกือบครึ่งปี แต่ทำไมความรู้สึกมันยังเหมือนกับว่า ความเจ็บปวด ความร้าวราน ของผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อเจ้าคลื่นร้ายนี้ยังคงอยู่ให้สัมผัสได้ด้วยหัวใจอย่างไม่น่าเชื่อ

เดินเลียบไปข้างตึกด้วยความสลด หดหู่ มองไปเห็นเด็กน้อยตัวจ้อยแต่งชุดนักเรียนนั่งพิงกำแพงอยู่อย่างเดียวดาย ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรืออย่างไร ความเศร้า ความเหงา วิ่งเข้ามาจับเข้าที่ขั้วหัวใจ ภาวนาว่าขออย่าให้น้องคนนี้เป็นหนึ่งในเด็กกำพร้า ที่ดิฉันมีรายชื่ออยู่เลย เมื่อเดินเข้าไปพูดคุยกับน้อง หนุ่มน้อยบอกว่ามานั่งรอเข้าห้องประชุม น้องไม่ได้เป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ในรายชื่อการรับบริจาค แต่น้องเล่าว่าเสียคุณแม่ไปและคุณพ่อติดคุกตลอดชีวิต ดิฉันนั่งลงข้างๆ น้อง เงียบอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ความคิดว้าวุ่นเกิดขึ้นในใจ “ยังมีเด็กอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ มิใช่เพียงแค่ความเป็นอยู่ จิตใจพวกเขาด้วยต่างหากที่ต้องช่วยกันเยียวยา”

แต่ลำพังพวกเราตัวเล็กๆ ก็คงทำได้แค่แรงและกำลังที่เรามีอยู่กันเพียงเท่านี้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ จับไหล่น้องบีบเบาๆ และบอกให้น้องเข้มแข็ง จากนั้นก็จดชื่อน้องไว้เพื่อนำไปขอเบอร์บัญชีธนาคารที่โรงเรียนจัดไว้ให้กับเด็กทุกคนในโรงเรียน ในใจก็คิดว่า เงินจำนวนที่นำมาจากอังกฤษคงต้องถูกหารเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน จากนั้นหนุ่มน้อยก็ลุกขึ้นชวนเดินไปดูบ้านพักอาศัยชั่วคราวหลังโรงเรียนที่น้องอยู่ เมื่อเดินมาถึงดิฉันก็ได้เห็นสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้านั้น เป็นบ้านพักอาศัยชั่วคราวหลายสิบหลังสำหรับเด็กๆ และผู้ประสบภัยที่ไร้ที่อยู่อาศัย

มองดูเหมือนบ้านในจินตนาการตอนเด็กๆ จำได้ว่าเคยฝันอยากมีบ้านจำลองไว้เป็นของเล่นชิ้นโต แต่ทว่าในตอนนี้บ้านเหล่านี้คงเป็นได้มากกว่าของเล่นชิ้นโต และคงมีคุณค่ามากมายนักสำหรับคนหลายๆ คนที่ต้องอาศัยเป็นที่พักพิงแม้จะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม ดิฉันเดินเลาะไปตามใต้ถุนบ้าน มีหลังหนึ่งเป็นเหมือนสำนักงานของมูลนิธิฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กจากภัยสึนามิ ซึ่งอยู่ในพระราชินูปถัมภ์ของพระราชินีจากประเทศสวีเดน

ขณะที่ดิฉันยืนอ่านป้ายรายละเอียดของมูลนิธิอยู่นั้น ก็มีเสียงอ่อนหวานไพเราะกล่าวสวัสดีอยู่ข้างหลังและถามไถ่ว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ดิฉันหันไปเห็นสาวน้อยชาวฝรั่งสามคนส่งยิ้มให้จากแคร่ใต้ถุนบ้านพัก ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านหลังที่ดิฉันยืนอยู่ ดิฉันรีบกล่าวทักทายตอบ ทั้งสามเชิญดิฉันนั่งลงร่วมวงสนทนา สอบถามเธอทั้งสามได้ความว่า ทั้งสามเป็นพี่น้องกัน อายุอยู่ในวัย 14-18 ปี เป็นชาวอเมริกัน จากนิวยอร์ค เดินทางมากับคุณพ่อ มิสเตอร์เดวิด จอห์นสัน และคุณแม่ มิสซิสทาเบีย จอห์นสัน เมื่อต้นปีหลังเกิดสึนามิได้ไม่นานนัก

ทั้งครอบครัวเป็นอาสาสมัครมาช่วยสอนภาษาอังกฤษเด็กๆ ที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม และช่วยดูแลเรื่องฟื้นฟูจิตใจเด็กๆ กำพร้าที่นี่ด้วย หลังจากนั้นน้องๆฝรั่งทั้งสามคนก็ชวนดิฉันไปพบคุณพ่อคุณแม่ของพวกเธอ ดิฉันเดินแวะมารับลิซซี่ และคุณพ่อไปห้องประชุมด้วยกัน ส่วนน้องอี๊ดนั้นช่วยหอบข้าวของที่นำมาบริจาคไปไว้ที่ห้องประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคุณพ่อดิฉันก็ได้ให้เงินน้องไปทานข้าวเช้าก่อน เนื่องจากพวกเราคงต้องใช้เวลาพอสมควร ดิฉันได้พบกับมิสเตอร์เดวิดและภรรยา คุณพ่อคุณแม่ของสาวน้อยสามใบเถาชาวอเมริกันพร้อมกับคุณครูใหญ่ อาจารย์ ทวิช จิตรสาน พวกเราได้พูดคุยกันอยู่พอสมควร

ดิฉันได้ทราบว่าหลังเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ คุณครูและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนทุกคนนั้นก็ต้องทำงานหนักกันมากขึ้นหลายเท่า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาบริจาค และหรือ ต้องคอยจัดสรร ความจำเป็นต่างๆ ให้กับนักเรียนรวมไปถึงผู้ปกครองที่ประสบภัยหลายๆ คนในท้องที่ เพื่อให้เกิดความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ซึ่งดิฉันเองก็พอจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากเอาการอยู่ ปัญหาที่เกิดในการทำงานนั้นย่อมมีอยู่อย่างแน่นอน ต่างคนก็ต่างความคิด หากจะต้องมานั่งบรรยายหรือวิเคราะห์เรื่องราวเหล่านี้ ดิฉันว่าก็คงจะได้นิยายน้ำเน่าที่เราๆ ก็คงรู้ๆ กันอยู่กับระบบราชการหรือการทำงานของรัฐบาลไทยขึ้นมาอีกเล่มอย่างแน่นอน

เอาเป็นว่า ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนที่มีความตั้งใจ และความจริงใจที่จะทำงานให้เกิดประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่แล้วกันค่ะ



คลื่นชีวิต ตอนที่ 2

ณ ห้องประชุมอาคารที่สร้างใหม่

นักเรียนเดินเรียงแถวกันอย่างน่ารักน่าเอ็นดููผ่านหน้าดิฉัน เข้าไปนั่งกับพื้น หนููน้อยที่นั่งลงแล้วหลายคนแอบชำเลืองมองลิซซี่ แล้วเขินอายเล็กน้อย จนดิฉันต้องบอกให้ลิซซี่ส่งยิ้มให้น้องๆ เพื่อนๆ

ทุกแววตาของเด็กน้อยเหล่านั้นช่างแสนบริสุทธิ์ หลายคนมีแววเศร้าฉายออกมา เพราะพวกเขาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าจากภัยสึนามิ ดิฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า การจัดพิธีการรับมอบเงินนี้ จะเป็นการไปตอกย้ำเด็กๆ และกระตุ้นเตือนความเจ็บปวดให้พวกเขาหรือเปล่า ด้วยความตั้งใจครั้งแรกที่จะมาบ้านน้ำเค็ม ก็เพียงเพื่อจะพบคุณครููใหญ่และนำมอบเงินให้ท่าน ผ่านทางบัญชีธนาคารของเด็กๆ เท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีพิธีรีตองมากมายขนาดนี้ เดวิด จอห์นสัน พร้อมลููกๆ ทั้งสามคนยืนอยู่ข้างดิฉัน ดููเหมือนพวกเขาจะรู้ว่า ดิฉันครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องอยู่ เมื่อเดวิดถามดิฉันว่า ดิฉันโอเคหรือเปล่า ดิฉันก็เลยบอกถึงความรู้สึกกังวลว่าการทำพิธีการแบบนี้จะเป็นการดีหรือไม่ เพราะเป็นห่วงจิตใจเด็กๆ แต่เดวิดบอกว่า ทางโรงเรียนก็จัดต้อนรับหลายๆ หน่วยงานมาตลอด เท่าที่เขาสังเกต พบว่าเด็กๆ ก็รู้สึกอบอุ่นที่มีคนมาหา มาเยี่ยม และบอกให้ดิฉันอย่าคิดมากไป

ก่อนเริ่มพิธีการรับมอบเงินบริจาคและสิ่งของจากโรงเรียนMilverton ประเทศอังกฤษ คุณครูก็ได้ให้โอวาทเด็กๆ และแจ้งเรื่องการมาบริจาคของพวกเรา ดิฉันส่งลิซซี่เป็นตัวแทนมอบเงินให้กับนักเรียนกำพร้าพร้อมด้วยหนังสือและ สิ่งของต่างๆ ให้กับทางโรงเรียน

ระหว่างพิธีการนั้น ตัวดิฉันยืนอยู่ข้างๆ ห้องประชุมกับมิสเตอร์เดวิด เราสองคนพูดคุยกันเบาๆ เรื่องความด้อยโอกาสของเด็กๆที่นี่ มิสเตอร์เดวิดบอกว่าดีใจมากที่ โรงเรียนMilverton ส่งหนังสือดีๆ มาให้มากมายนัก และมันก็ทำให้ดิฉันรู้สึกดีมากๆ ว่า หนังสือเหล่านั้นจะเพิ่มคุณค่าในตัวมันเองมากขึ้นเป็นหลายเท่านัก เพราะครอบครัวจอห์นสันจะได้ใช้หนังสือเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์กับเด็กๆ อย่างสูงสุด

ขอแสดงความนับถือน้ำใจของครอบครัวนี้มากมายนักที่เสียสละเวลา แรงกาย แรงใจ มาสอนภาษาอังกฤษและให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ในด้านการฟื้นฟูจิตใจด้วย

เมื่อเสร็จพิธี คุณครูเชิญพวกเราร่วมรับประทานอาหารกับเด็กๆ ที่โรงอาหาร ซึ่งวันนี้มีเมนูพิเศษที่เด็กๆ อยากทานและทางโรงเรียนไม่สามารถจัดหาให้เด็กๆได้เนื่องจากงบประมาณอาหารกลางวันไม่เพียงพอ

อยากทราบไหมคะว่าเมนูนั้นคืออะไร…….ขนมจีน แกงไก่ น้ำพริก น้ำยากระทิ และน้ำยาป่า พร้อมกับผักกระจาดใหญ่ค่ะ คุณครูฝ่ายโภชนาการถือโอกาส แถมผัดกระเพราและไข่เจียวให้เด็กๆ ด้วย ดิฉันรับจานอาหารที่คุณครูผู้มีน้ำใจส่งให้แล้วมองดูอยู่พักนึง นั่งคิดถึงคำพูดคุณครูว่า อาหารเหล่านี้เป็นอาหารแสนพิเศษที่เด็กๆ ดีใจว่าจะได้ทาน นานๆ ครั้ง นี่มันอะไรกัน เด็กบางคนแทบจะไม่แตะอาหารเหล่านี้เลย เพราะเห็นเป็นของธรรมดาสำหรับพวกเขา ยิ่งเด็กกรุงเทพฯ ที่คุณพ่อคุณแม่มีสตางค์หน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อาหารพิเศษของพวกเขา นู้นเลยค่ะ อยู่ตามฟาสต์ฟู้ดชื่อดังมากมาย บางคนทานทิ้งทานขว้าง พวกเขาจะนึกบ้างหรือเปล่าว่ามีเด็กอีกหลายคน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะลิ้มรสอาหารที่พวกเข้าทานเหลือ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งของความด้อยโอกาสในสังคมไทย

ดิฉันได้แต่หวังว่าลิซซี่คงเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น หลังจากที่ดิฉันอธิบายความแตกต่างของโอกาสทางสังคมให้ลูกฟัง โดยยกตัวอย่างแค่เรื่องอาหาร การกินนี่แหละค่ะ ง่ายดี จนลิซซี่บอกว่าอยากให้พวกเขาได้ทานไอศครีมอร่อยๆ หรือพิซซ่าดีๆ บ้างจัง เมื่อทานอาหารเสร็จดิฉันก็เตรียมร่ำลา และกล่าวขอบคุณ คุณครูทุกๆ ท่านที่อำนวยความสะดวกให้พวกเราเป็นอย่างดี

และเมื่อเดินออกมาจะขึ้นรถ มีคุณแม่สองสามคนอุ้มลูกเล็กเดินเข้ามาหาดิฉัน แล้วบอกว่าขอทุนการศึกษาให้ลูกตนเองบ้าง ดิฉันหยุดคุยด้วยพักนึง ทุกคนนั่งปรับทุกข์กับดิฉันต่างๆ นานา สิ่งที่รับรู้ในเวลานั้น นั่นก็คือชีวิตที่แร้นแค้น ตั้งแต่ครั้งยังไม่เกิดภัยพิบัติ แม่บางคนบอกว่าก่อนเกิดภัยพิบัติ ลูกๆ ตนเองที่อยู่โรงเรียนนี้ก็แทบจะไม่เคยได้ทานอาหารเช้าออกจากบ้านกันเลย มาขออาศัยอาหารเที่ยงทางโรงเรียนซึ่งก็มีงบประมาณไม่ได้เยอะอะไร พอได้กินอยู่รอดไปวันๆ ถ้าจะพูดถึงความยากจนก็คงบอกได้ว่าไม่ใช่แค่เฉพาะที่นี่เท่านั้น อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่าความแตกต่างระหว่างความรวยความจนในประเทศเรานั้นมีอยู่มากมายนัก

แต่ถ้าพวกเราหลับตานึกภาพผู้คนยากจน ชาวบ้านธรรมดาที่ต้องปากกัดตีนถีบอยู่แล้ว และต้องมาเจอโชคชะตาเคราะห์กรรมที่หนักหนาสาหัสอย่างภัยสึนามิ สูญเสียคนที่รักคนที่เป็นเสาหลักของบ้าน หรือแม้แต่เด็กกำพร้าทั้งหลายซึ่งยังไม่รู้ว่าอนาคตพวกเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าหากพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาจะเป็นอย่างไรกัน................................. ดิฉันเดินจากมาด้วยน้ำตาที่ไหลอยู่ในอก มันล้นอยู่ในใจ และบังคับไม่ให้มันไหลออกมาผ่านม่านตาตัวเอง เมื่อต้องเดินผ่านโรงอาหารที่มีเด็กๆ ทั้งหลายโบกมือ บ้าย บาย ลิซซี่ และหลายคนยกมือไหว้ร่ำลาดิฉัน

พวกเราส่งยิ้มและโบกมือตอบไปยังเด็กๆ ดิฉันนั่งมองจากหน้าต่างรถไปยังเด็กน้อยทั้งหลายซึ่งนั่งรับประทานอาหารพิเศษของพวกเขาอยู่อย่างมีความสุข อย่างน้อยก็อีกหนึ่งมื้อจากการมาเยี่ยมของแขกแปลกหน้า น้องอี๊ดขับรถออกมาเกือบพ้นประตูโรงเรียน จนดิฉันต้องเหลียวหลังเพื่อเก็บภาพเด็กๆในโรงอาหารไว้เป็นภาพสุดท้าย เมื่อหันกลับมา มองไปหน้าถนน ภาพนั้นพร่าเลือนด้วยหยดน้ำตา คุณพ่อและน้องอี๊ดสบตาดิฉันในกระจกด้านหน้ารถ ทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้จากความเงียบภายในรถ และเก็บมันไว้เป็นความสงบแห่งการเดินทางในเส้นทางใหม่.....หลังการจากลา


"ขอความเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้ และด้อยโอกาสกว่าเรา จงมีอยู่ในน้ำใจมนุษย์โลกทุกคนตลอดกาล""ไม่ว่าคุณจะท้อแท้ สิ้นหวัง ในเรื่องใด ขอกำลังใจจงอยู่คู่ทุกคนตลอดไปนะคะ"

Saturday, May 06, 2006

ภาพ"การไปเยือน เพื่อนๆ ตัวน้อย"












เด็กน้อย เดินแถวเข้าห้องประชุม




ลิซซี่จัดหนังสือและสิ่งของที่นำมาจากโรงเรียน ที่อังกฤษเพื่อมอบให้กับโรงเรียนบ้านน้ำเค็มและเด็กกำพร้าสึนามิ

หนังสือที่นำมาบริจาค






ลิซซี่เป็นตัวแทนมอบทุนให้ตัวแทนเด็กกำพร้าสึนามิที่บ้านน้ำเค็ม

พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ หลายๆ คน บางคนสููญเสียสามี บางคนสููญเสียภรรยา บางคนสููญเสียลููก

ซ้ายมือคือรถน้องอี๊ด ชายหนุ่มน้ำใจงามที่พาพวกเราไปพบกับภาพชีวิตเหล่านี้ ด้วยราคามิตรภาพ


ตึกเก่าที่โดนทำร้ายโดยภัยสึนามิ ทิ้งรอยความร้าวรานไว้ให้เห็น

เริ่มช่วยกันก่อร่าง หวังจะสร้างขึ้นมาใหม่

และพยายามสร้างขึ้นมาใหม่

ตึกใหม่ กับชีวิตใหม่ จริงหรือ

ประตููทางออกโรงเรียน เส้นทางการจากลา



Thursday, April 13, 2006

บันทึกน้ำใจหลากหลายหยด....ที่งดงาม


เรื่องของน้องอี๊ด

น้องอี๊ดเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าๆ ท่าทางห้าวหาญทีเดียวเชียวแหละ บุคคลิกช่างละม้ายคล้ายคลึงเหมือนพี่แอ๊ดคาราบาววัยหนุ่มนักแล น้องอี๊ดมาอาสาขับรถไปส่งให้ที่บ้านน้ำเค็ม เมื่อครั้งนำเงินและของจากโรงเรียนลิซซี่ไปบริจาคในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยไม่ได้คิดกำรี้กำไรในการให้บริการเท่าไหร่นัก ประมาณว่าขอไปทำบุญด้วยคน เนื่องจากน้องอี๊ดเคยเป็นอาสาสมัครไปช่วยค้นหาศพและช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิมาก่อน และตั้งใจอยากจะกลับไปเยี่ยมผู้คนที่นั่นอีกครั้ง

น้องอี๊ดเล่าว่าเป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ เพิ่งมาสอบใบอนุญาตเป็นไกด์ได้ที่ภูเก็ต ตั้งใจว่าจะไปประกอบกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่จังหวัดสุราษฎร์

ตลอดการเดินทาง เราแลกเปลี่ยนความคิดส่วนตัวกันมากมาย แทบจะเรียกได้ว่า เม้าท์มันส์บันเทิงกันไปทีเดียวน้องอี๊ดมีมุมมองและจรรยาบรรณกับงานบริการด้านการท่องเที่ยว ว่า ไม่โกง ไม่โก่ง(ราคา) ไม่กร่าง กับนักท่องเที่ยว

เค้าบอกว่า ก่อนมาสอบไกด์ที่ภูเก็ต เค้าขับรถส่งฝรั่งอยู่ที่สุราษฎร์ และค่อนข้างเป็นแกะดำของเพื่อนร่วมอาชีพ เนื่องจากชอบแถมให้ฝรั่งอยู่เสมอ เช่นฝรั่งจะไปเที่ยวเขื่อน น้องแกก็จะแถมบ่อน้ำพุร้อนระหว่างทางให้ โดยจะถามความสมัครใจนักท่องเที่ยวก่อน น้องอี๊ดถือว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงหากจะแนะนำที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้ชาวต่างชาติได้เห็นและประทับใจ เพื่อจะได้บอกต่อหรือกลับมาเยี่ยมเยียนกันอีกครั้ง

และอีกข้อในการเป็นแกะดำก็คือ มักจะออกอาละวาดผู้ชอบหลอกหลวงนักท่องเที่ยว เช่นโก่งราคา หรือ เอาเปรียบนักท่องเที่ยว เรื่องนี้น้องอี๊ดบอกเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อยากให้เพื่อนร่วมอาชีพทำ เค้าบอกมันก็ได้แค่ครั้งเดียว สู้ทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจแล้วกลับมาใช้บริการอีกจะดีกว่า ดิฉันจึงไม่แปลกใจเลยว่า น้องอี๊ดมีโปสการ์ดมากมายจากชาวต่างชาติแปะอยู่บนกระจกหลังรถ เกือบทุกข้อความเป็นการแสดงความขอบคุณและความประทับใจต่อบริการและยืนยันว่าหากกลับมาประเทศไทย จะติดต่อมาหาน้องอี๊ดอีก และหลายๆคนก็แทบจะกลายมาเป็นเพื่อนกับน้องอี๊ดเลยก็ว่าได้

เรื่องที่ดิฉันค่อนข้างประทับใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ น้องอี๊ดเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติตัวยงคนนึง เค้าถือคติว่าเค้าหากินกับธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเค้าจะไม่ทำลายธรรมชาติ น้องอี๊ดพาฝรั่งเที่ยวแบบดูแลธรรมชาติสุดฤทธิ์ เค้าจะคอยบอกนักท่องเที่ยวว่ากรุณาอย่าทำร้ายธรรมชาติและแนะนำการชื่นชมธรรมชาติแบบถูกวิธี ในแหล่งธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท้องทะเล หรือป่าเขา ซึ่งดิฉันและลิซซี่ก็พลอยได้ความรู้จากน้องอี๊ดในเรื่องการเที่ยวแบบรักษาธรรมชาติไปด้วย (ว่างๆ ก็ว่าจะบันทึกเก็บไว้ เป็นความรู้ที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย)

มีเรื่องเด็ดที่น้องอี๊ดเล่าให้ฟังว่า น้องเค้าผ่านไปแถวริมคลองที่เคยสะอาดสวยงามในอดีต แต่เนื่องจากความเจริญเข้ามาอย่างรวดเร็ว คลองสายนี้จึงเริ่มแปรสภาพ น้องอี๊ดค่อนข้างเสียดาย ก็คอยไปเตือนๆ ชาวบ้านที่ชอบทิ้งขยะลงคลองว่า อย่าได้ทำอย่างนั้นเลย ให้ช่วยกันรักษาสภาพคลองให้ดีขึ้น ปรากฎว่าพวกชาวบ้านบางคนออกมาตะโกนด่าและถามน้องอี๊ดว่า "เฮ้ย นี่คลองมึงเหรอวะ" น้องอี๊ดก็ตะโกนกลับไปว่า "เออ คลองกู แล้วก็คลองพวกมึงด้วย" แล้วก็วิ่งปรู๊ดขึ้นรถขับออกไปอย่างกับจรวด เพราะว่าพวกเค้ามีกันหลายคน โถ เราก็นึกว่าแน่ ลุ้นซะแทบตาย แต่ก็ดีแล้วค่ะ ขืนน้องเค้าอยู่ต่อ นักอนุรักษ์ธรรมชาติคนนี้อาจต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มก็เป็นได้


น้ำใจ(ครอบครัวจอห์นสัน)สู้ภัยสึนามิ

เมื่อครั้งที่ดิฉันนำเงิน และสิ่งของไปบริจาคที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม คุณครููใหญ่ได้แนะนำให้ดิฉันรู้จักกับ มิสเตอร์เดวิด(David) และ มิสซิสทาเบีย(Tabea) สามีภรรยาชาวนิวยอร์ค พร้อมกับบุตรสาวอีกสามคน น้องโจแอนน์(Joann) น้องอลิซา(Eliza) และน้องเรีย(Rea) ทั้งครอบครัวได้เดินทางมายังบ้านน้ำเค็มตั้งแต่หลังเกิดเหตุใหม่ๆ ได้ไม่กี่เดือน เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟููสภาพจิตใจเด็กๆ และช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษ และ ศิลปะ ให้เด็กๆ ด้วย

ดิฉันได้พููดคุยและสอบถามว่า ทำไมทั้งครอบครัวถึงตัดสินใจลงมาเป็นอาสาสมัครที่นี่ ....มิสเตอร์เดวิดก็บอกว่า แรงบันดาลใจที่ลงมาที่นี่ ก็เพราะเพืื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งที่เผชิญกับภัยสึนามินั้น กลับไปเล่าเหตุการณ์อันน่าสลดหดหู่ให้พวกเขาฟัง และได้ดููข่าวสารผ่านทางทีวี ภาพที่ถ่ายทอดออกมาจากข่าวทุกสื่อทีวี และหนังสือพิมพ์ ทำให้พวกเขานั่งอยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุทำให้ดิฉันได้พบเจอกับครอบครัวแสนน่ารักครอบครัวนี้ที่บ้านน้ำเค็ม

ลูกสาวสามคนของเดวิดนั้นดููจะดีใจกับกองหนังสือที่ดิฉันนำมาจากอังกฤษเป็นยิ่งนัก เธอทั้งสามคนบอกว่า กำลังต้องการหนังสือสวยๆ ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ประกอบการสอนอยู่พอดี ถ้าหากดิฉันไม่นำมาบริจาค พวกเธอก็ตั้งใจว่าจะทำการ์ดส่งไปขายให้เพื่อนฝููง ญาติพี่น้องที่อเมริกา เพื่อหาเงินทุนมาซื้อหนังสือ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ดิฉันปลื้มใจกับกองหนังสือที่แบกมาหนักจากอังกฤษ เพราะมันมีค่ากับใครต่อใครที่นี่มากมายนัก

ส่วนมิสเตอร์เดวิดและมิสซิสทาเบีย ก็มาขอให้ลิซซี่ไปเป็นเครื่องมือการเรียนการสอนแป๊บนึง ด้วยเหตุผลที่ว่า ลิซซี่พููดภาษาไทยได้ จึงให้ลิซซี่ไปพููดคุยกับเด็กๆ เป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทย เพื่อให้เด็กๆ กล้าแสดงออกด้านภาษากันบ้าง เนื่องจากโดยปกติเด็กๆ จะอายคุณครููฝรั่งกันเป็นอย่างมาก แต่พอเจอลิซซี่ที่พููดไทยได้ แล้วยังแถมสำเนียงภาคใต้ทองแด๊ง ทองแดง เข้าไปอีก บรรยากาศการเรียนการสอนเลยผ่อนคลาย และ ได้ฮาได้ครึกครื้นกันเล็กน้อยก่อนเข้าห้องประชุม จนเดวิดและทาเบียพููดจาล้อเล่นกับดิฉันว่าจะขอลิซซี่ไว้เป็นผู้ช่วยครููที่นี่(เกือบให้แล้วค่ะ พอดีกลัวหาว่าเป็นแม่ใจร้าย)

เดวิดกับทาเบียนั้น สนใจเรื่องการศึกษาของเด็กไทยเป็นอย่างมาก ดิฉันพููดคุยเรื่องความด้อยโอกาสของเด็กไทยที่นี่ให้พวกเขาฟัง มิใช่ว่าจะเอาประเทศไปประจานนะคะ แต่อยากให้เขารับรู้ข้อมููลเพื่ออย่างน้อยพวกเขาจะได้ทุ่มเท และพร้อมที่จะเติมเต็มให้เด็กๆ เหล่านี้ แม้อาจจะไม่ได้เท่าเด็กๆ ที่มีสตางค์ในเมืองกรุงก็ตาม แต่ดิฉันก็คิดว่าดีกว่าไม่มีพวกเขาเอาซะเลย.... พวกเขา ซึ่งเสียสละความสุขสบายในมหานครนิวยอร์คมายืนอยู่ตรงนี้ เพื่อให้ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ และ งานศิลปะแก่เด็กๆ แล้วแถมยังช่วยเหลือฟื้นฟููสภาพจิตใจเด็กๆ ที่นี่อีกด้วย

ในบันทึกนี้ ดิฉันใคร่ขอขอขอบคุณในน้ำใจอันยิ่งใหญ่(สำหรับดิฉัน และหวังว่าจะยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยใจดีแถวนี้อีกหลายๆ คน)ของครอบครัว จอห์นสัน อันได้แก่ มิสเตอร์ เดวิด มิสซิส ทาเบีย และน้องๆ ทั้งสาม คือ น้องโจแอนน์ น้องอลิซา และน้องเรีย มา ณ ตรงนี้ด้วย

และฝากความดีของท่านเหล่านี้ผ่านบลอกน้ำใจไปยังคนไทยทุกคน ให้ได้รับทราบและชื่นชมด้วยนะคะ

~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

อีกหนึ่งหยาด หนึ่งหยดของน้ำใจ ที่จะยังรินไหล รดลงไป ในใจอันร้าวราน

Nataya, Hello!

How are you?We are still in *BNK. We will visit the USA next week with 4 of the orphans and Nanthana, the assistant director. Then we are coming back for another year. Make sure to get ahold of The Wave of Destruction by Erich Krauss. It is about our town and the tsunami. Looking forward to hearing from you again or seeing you here.

David and Tabea

*BNK=BAN NAM KEM

ในบันทึกตอนที่แล้วได้มีการแนะนำครอบครัวจอห์นสันที่ไปปักหลักปักฐานช่วยสอนหนังสือและทำการฟื้นฟููสภาพจิตใจเด็ำกๆ จากภัยสึนามิที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็มไปแล้ว จริงๆ มีเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆที่ถููกบันทึกผ่านอีเมล์จากครอบครัวจอห์นสันมากมาย แต่เมื่อวานนี้มีอีเมล์ล่าสุดที่ถููกส่งมาจากครอบครัวจอห์นสัน ดููน่าจะเป็นเรื่องของข่าวดีให้พวกเราได้ชื่นใจบ้างพอสมควร ดังนั้นดิฉันจึงขอนำอีเมล์ฉบับดังกล่าวมาบันทึกไว้ในบ้านน้ำใจ ให้ได้รับรู้รับทราบร่วมกัน ณ ตรงนี้ด้วยนะคะ

ข่าวดีจากอีเมล์ข้างบน

ครอบครัวเดวิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่อเมริกา และจะได้นำน้องๆ เด็กกำพร้าสึนามิทั้งหมดสี่คนไปเที่ยวทัศนศึกษาที่นั่น พร้อมผู้ช่วยครููใหญ่ อาจารย์นันทนา... ดีใจที่น้องๆได้มีโอกาสบางอย่างในชีวิต อย่างน้อยก็อาจจะได้เติมแม้จะไม่เต็ม ในส่วนที่ขาดหายไปจากภัยสึนามิ ขอให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพ และสนุกไปกับทริปนี้ ดิฉันจะติดต่อเดวิดขอให้ถ่ายรูปและเล่าเรื่องราวของน้องๆ ในอเมริกา ให้พวกเราได้รับฟังรับอ่านบ้าง เผื่อว่าจะมีเพื่อนๆ น้องๆ หลายๆ คนที่นี่อยากจะได้รับทราบรับรู้ด้วยกันนะคะ

ข่าวสารที่อยากแนะนำจากอีเมล์ข้างบนนี้

เดวิดบอกดิฉันว่า อย่าลืมไปหาดูู ไปหาซื้อหนังสือ ชื่อThe Wave of Destruction ของErich Krauss โดยเด็ดขาดเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสึนามิที่บ้านน้ำเค็ม

เมื่อวานที่ดิฉันเช็คอีเมล์ ดิฉันก็เรียกคุณพ่อลิซซี่มาอ่าน พ่อลิซซี่ไม่รอช้า ถีบดิฉันตกเก้าอี้(อ่ะ ล้อเล่น) แค่ร้อนรนไล่ดิฉันให้ลุกไป แล้วเขาก็นั่งลงจัดการสั่งหนังสือเล่มนี้ทันที พอถึงตอนสุดท้ายเขาตะโกนบอกดิฉันว่าทางเวบขอเก็บสิบปอนด์เป็นค่าส่งมาจากอังกฤษ เพราะเราสั่งจากเวบอเมซอนที่อังกฤษ ดิฉันก็ช่างหน้าเลือดเสียนี่กระไร กระโดดผลุงมาห้ามทัพอาเฮียทันที ยังไม่ให้สั่ง เดี๋ยวจะไปหาซื้อที่ร้านเอง เชื่อว่าสิงคโปร์มีขายแน่นอน หรือถ้าหาซื้อในร้านใหญ่ๆ ที่นี่ไม่ได้ก็สั่งเวบอเมซอนที่สิงคโปร์ ค่าส่งน่าจะถููกกว่าเยอะ เก็บสิบปอนด์ไว้บริจาคช่วยอย่างอื่นดีกว่า หรืออย่างน้อยก็เก็บไว้ซื้อแจกเพื่อนๆ ได้อีกสักเล่มล่ะน่า


โปสการ์ด กับ น้ำใจเล็กๆ อีกหนึ่งหยด

วันนี้ขอคั่นรายการเรื่องราวของ ครอบครัวเราและเพื่อนกับเหตุการณ์สึนามิปีที่แล้ว ไว้แป๊บนึงนะคะ พอดีมีเรื่องประทับใจส่วนตัวเกี่ยวกับน้ำใจเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจเรา มาบันทึกไว้ก่อนที่วันเวลาจะล่วงเลยนานเกินไป ขออนุญาตบอกเล่าเรื่องราวด้วยจดหมายอีเลคโทรนิคส์ หรือที่เราๆ เรียกกันว่าอีเมล์นั่นเอง เชิญรับชมรับอ่านกันได้แล้วค่ะ

อันแรกเป็นอีเมล์ที่เราเขียนไปหา เดวิดและครอบครัวที่บ้านน้ำเค็ม พวกเขาเป็น ครูอาสาที่มาจากนิวยอร์ค(ได้บันทึกเรื่องราวของพวกเขาไว้แล้ว และจะนำเสนอในโอกาสต่อไป)

> Hello> it is very nice to hear from you.I would like to ask some help from your family as i> would like to coordinate for Milverton school in England to continue support> 5 orphans in Bannamkem school.> I am thinking to ask one of my friends to send blank postcards of Pang Nga to you for>5orphans whom Milverton school support them financially .>i think it would be nice> if those kids could stay intouch with them by sending Postcard to> pupils in Milverton. I just would like to ask that it is ok for you to help> them to write these postcards in english or not.If you agree with this idea> and think you can help, i will post all these postcards together with stamp> for uk to you and will give you all students' name and their class details.> Hope you dont mind i am asking this.if you have any advise, please let> me know.I need your comment about doing this as well.> thanks and regards,> Nataya

สรุปเป็นภาษาไทย(แต่ไม่ได้แปลนะคะ แค่เป็นการสรุปที่ไปที่มาของแต่ละอีเมล์) คือว่าอยากให้ครูอาสาที่มาจากนิวยอร์ค ช่วยประสานงานและสอนนักเรียนกำพร้าซึ่งสูญเสียทั้งคุณพ่อคุณแม่ในเหตุการณ์สึนามิ ให้เขียนโปสการ์ดสวยๆ จากเขาหลักไปขอบคุณนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ที่โรงเรียนMilverton ประเทศอังกฤษ เพราะว่าหลังจากเรานำเงิน หนังสือ ชุดนักเรียนใหม่ และของเล่น ไปบริจาค เรียบร้อยแล้ว ทาง Milverton ก็บอกว่าอยากจะช่วยเหลือเด็กๆ กำพร้าต่อไปเรื่อยๆ โดยจะจัดงานที่โรงเรียนเพื่อรับบริจาคแล้วส่งมาให้อีกเรื่่อยๆ เราเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องน่ารักๆ ที่เด็กๆ กำพร้าจะส่งคำขอบคุณผ่านทางโปสการ์ดสวยๆ ของเขาหลัก และเผื่อว่าพวกเขาเห็นความสวยงามของธรรมชาติที่ยังอยู่ ก็อาจจะช่วยโปรโมทให้ฝรั่งมาเที่ยวที่นั่นกันอีกเยอะๆ เขาหลักจะได้ฟื้นตัวไวๆ(ทั้งที่รู้ว่ายาก แต่ก็ยังมีความหวัง) และพวกชาวบ้านจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย

อันนี้เป็นอีเมล์เดวิดกับครอบครัวที่เราเจอตอนไปบ้านน้ำเค็มเดือนตุลาคม มีพ่อแม่กับลูกสาวอีก 3 คน มาช่วยเหลือเด็กๆ ที่บ้านน้ำเค็ม ทั้งสอนและช่วยดูแล รวมถึงฟื้นฟูจิตใจเด็กๆ ด้วย หนังสือที่เอามาจากอังกฤษเลยมีประโยชน์มากๆ เพราะครอบครัวเดวิด กำลังต้องการหนังสือดีๆ ไว้ในห้องสมุดโรงเรียน และไว้ใช้ในการสอน เด็กๆ ชอบหนังสือกันมาก (ขออนุญาตบอกว่าเป็นหนังสือดีๆ สวยๆ จากอังกฤษ และหลายๆ เล่มราคาก็สูงพอสมควร ผู้ปกครองบางคนที่อังกฤษถึงกับลงทุนไปซื้อมาบริจาคก็มี น่ารักมากๆ)

> >Thanks so much Nataya,> >We appreciate your good wishes and thoughts.> >We are receiving much more from the Thai people than we are giving, and> >feel privileged to be here.For your asking , I think that we can manage. > >We are teaching the > >kids to write letters because that is something donors appreciate. > > I look forward to receiving the cards. Let me know which students it is. > >goodwishes and thoughts, and look forward to seeing you again. > >All the best, also to your daughter,> >David and Tabea

สรุปว่าเดวิคเห็นด้วยกับเรา และแล้วเราก็ทำฉลากซุ่มตัวอย่างรายชื่อเพื่อนๆ ได้ชื่อผู้โชคร้าย เอ้ย!โชคดีเป็น อ้า เพื่อนสาวที่คบกันมาร่วม 10 ปี ที่โดนอีเมล์ขอร้องแกมบังคับยังงัยก้อไม่รู้เข้าให้ซ้าาาา ตามข้างล่างนี้ (ก่อนหน้านี้ตอนลงไปบ้านน้ำเค็มอ้าก็ฝากชุดนักเรียนใหม่ๆไปให้เด็กๆ กำพร้าด้วย)

หวัดดีจ่ะอ้า คือว่าอยากชวนทำบุญ อีกแล้วน่ะ หลังจากที่เราเขียนบรรยายความเศร้าไปให้ Milvertonschoolพวกเค้าก็ตกลงใจจะsupport เด็กๆ เหล่านี้ต่อ เรากับครอบครัวอเมริกันที่เป็นvolunteer ที่บ้านน้ำเค็มเลยคุยกันว่า เราจะส่งpostcard พร้อมแสตมป์ ไปให้เด็กกำพร้า แค่ 5 คนเอง เป็นpostcardเปล่าติดแสตมป์ ทีนี้เราคิดว่าจะให้พ่อแม่เราจัดการส่งให้แต่ท่านทั้งสอง(เรียกซะดูเป็นทางการมะ) ท่าทางจะงงๆ กับการหาซื้อ postcard น่ะ เราเห็นว่าอ้าอยู่ใกล้ตรอกข้าวสารเลยอยากรบกวนว่า ถ้าว่างอยากให้อ้าไปช่วยหาซื้อ postcard รูปเขาหลัก หรือ พังงาก็ได้แล้วเราจะให้พ่อขับรถมาเอาที่บ้านอ้าไปติดแสตมป์ ส่งไปให้ เดวิดที่พังงา แล้วเขาจะสอนเด็กๆ เขียนขอบคุณนักเรียนและครูที่milverton อ้าว่า เวอร์ไปหรือป่าว ขอคำปรึกษาด้วย ทาง Milvertonไม่เคยคาดหวังอะไรตอบแทน แต่เราว่าถ้าเด็กๆ ส่งการ์ดไปขอบคุณ เด็กๆ ด้วยกัน ก็เป็นเรื่องน่ารักดี ทีนี้จะไปรบกวนครูที่บ้านน้ำเค็มเค้าก็คงรับปาก แต่จะทำให้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อย่าหาว่าแส่หาเรื่องเลยนะอยากทำอะไรดีๆ แต่ไม่มีปัญญาทำ รบกวนเพื่อนอีกแย้ว ถ้างัยตอบด้วยนะว่าสะดวกหรือป่าว ขอโทษจริงๆ ที่รบกวนอีกแล้ว รักและเคารพ(ในน้ำใจอันงามแต้ของเพื่อน)

ปล.ข้าว่าข้าเขียนแบบมัดมือชกยังงัยบอกไม่ถูก สงสารเอ็งว่่ะ

และนี่คือความประทับใจในเรื่องโปสการ์ดที่เกริ่นมาตั้งแต่ต้น ลองอ่านอีเมล์ที่เพื่อนเราตอบ ช่างเป็นอีเมล์ที่สวยงาม(น้ำใจ)จริงๆ

I just got your this mail at 2.45 pm while the time shown that it was sentfrom you since 9.30 am!!No worry (familiar word mai??). I can buy such postcards from my soi. Alsocan fix stamps to the postcards and send to David. How much for stamp perone postcard, 15 baht?? You got to tell me david's address as well. Dontbother your parents for postcards pick up, no need. Also dont mind aboutthe postcards and stamps price, as you said... we are making merits.I really agree for this idea wa. Though we can communicate thru emails,which is faster than letters but I sometimes prefer letters or postcards.It is more touchable than electronic letter.. I think.Tell me if 5 postcards are enough.Ah :)

ขอบคุณอีกครั้งนะเพื่อน

น้ำใจ(น้องกุ้ง)สู้ภัยสึนามิ

........มิตรภาพในเอ็มบลอกมีจริง และสวยงามอย่างที่ไม่เคยพบในที่ใดมาก่อน.........

วันแรกที่เข้ามาบันทึกเรื่องราว น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามินั้น

มิได้คิดและคาดหวังว่าจะได้เจอมิตรภาพแสนงามจากชุมชนแห่งนี้

ความหวังแรกที่เขียนเรื่องราวของน้ำใจแต่ละหยาดแต่ละหยดนั้น

ก็ด้วยแค่หวังว่าเผื่อมีคนกวาดสายตาผ่านมารับรู้เรื่องราวของผู้มีน้ำใจแต่ละผู้แต่ละนาม

ซึ่งไม่ได้ถููกกล่าวถึงในสื่อสาธารณะ เพราะพวกเขาอาจจะเป็นได้เพียงแค่หยดน้ำ หยดเล็ก

แต่กระทบแสงสวยงามจนแลเห็นหัวใจดีๆ จา่กเขาเหล่านั้นได้จากบ้านน้ำใจแห่งนี้

มาวันนี้น้ำใจที่หยาดหยด รดลงมา ให้เด็กน้อยได้ชุ่มชื่น แม้เพียงเล็กๆ แต่เชื่อว่าเด็กๆ คงสุขใจ

ที่อย่างน้อยมีใครห่วงใย ส่งความหวังดีผ่านมาให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็น กำลังใจให้เด็กๆ

ผ่านตัวอักษรสวยๆ ในคอมเม้นท์ ของเพื่อนที่มีหัวใจงดงามการ์ดส่งความสุข

เมื่อตอนปีใหม่จากเพื่อนๆ ผู้มีน้ำใจในหมู่บ้านนี้ หรือเิงินบริจาคจากเพื่อนๆ ดิฉัน

ที่เข้าไปดููรายชื่อและเบอร์บัญชีธนาคารน้องๆ ในลิงค์ รักษาใจเด็กกำพร้า

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีน้องที่รู้จักกันผ่านทางหมู่บ้านแห่งนี้

ได้แสดงน้ำใจแสนงามมาให้อีกหยาดหยดหนึ่ง นั่นคือ น้องกุ้ง ณ สิงคโปร์

เรื่องราวความรักระหว่างเราสองคน เอ๊ย เรื่องราวความเป็นมาของมิตรภาพระหว่างเราสองคน

เริ่มต้นขึ้นเมื่อ น้องกุ้ง สะดุึดหลุมพรางที่ดิฉันวางไว้ สะดุดหัวคะมำหล่นลงมาที่บ้านน้ำใจ

เหมือนนางฟ้าตกสวรรค์อย่างไร อย่างนั้น

เมื่อสืบเชื้อสายไปมา เราพบว่า เราสองมีล๊อคเกตที่ท่านแม่ได้มอบไว้ เอามาชนกัน

แล้วฟ้าผ่าดังเปรี้ยง เดี้ยงกันไปทั้งคู่เพราะต้องตกมาอยู่ในในสิงคโปร์ด้วยกัน

เมื่อครั้งแรกที่ได้ยินเสียงตามสาย........ บทสนทนาแรกของเราก็คือแอบด่าคนสิงคโปร์

ทีแรกนึกว่าน้องกุ้งจะรับพี่คนนี้ไม่ได้ซะแล้ว แต่ฟ้าเมตตา ให้น้องกุ้งอดทนกับวาทะพี่คนนี้

ด้วยความอารมณ์ดีของน้องกุ้ง บวกกับมุขฮาๆ ขำๆ ที่น้องกุ้งพากเพียรส่งผ่านอีเมล์มาให้พี่คนนี้

ยามว่างเว้นจากงานที่ออฟฟิส ทำให้มิตรภาพของเรางอกงามเป็นชามก๋วยเตี๋ยว

และที่สุด(ของพี่แจ้) ก็คือว่า น้องกุ้ง มีหัวใจอันงดงาม ที่อยากจะช่วยเหลือน้องๆ เด็กกำพร้าสึนามิ

จริงๆ เราวาดหวังว่าจะได้ไปฮันนีมููนเขาหลักด้วยกันในเร็วๆ นี้

แต่บังเิอิญคนพี่มีภาระสำคัญที่จำใจต้องไปรบกับฝรั่งมังค่าเมืองผู้ดีอังกฤษสักพัก

คนพี่เลยคิดว่า น้องกุ้ง คงต้องร้องเพลง รักแล้วรอหน่อย ไปพลางๆ ก่อน

แต่พลังศรัทธาของน้องสาวคนนี้แรงกล้า(ท่าจะบ้าบิ่นด้วยเหมือนกัน)

มิรอช้า น้องกุ้งป่าวประกาศ ขอบริจาคสิ่งของที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับน้องๆ เด็กกำพร้า

จากเพื่อนๆ ทั้งที่ทำงานและทั่วไปในสิงคโปร์ มาสนับสนุนพี่คนนี้

ให้ได้ปลาบปลื้ม จนกินไม่หยุด นอนไม่ตื่นมาหลายเพลาแล้ว

ณ วันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีที่พี่จะขออนุญาต ถือวิสาสะมาประกาศความดีงามของน้อง

ให้เพื่อนเราผู้มีหัวใจสวยสดงดงาม เช่นเดียวกับน้องกุ้ง

ได้รับทราบและช่วยกันปลาบปลื้มไปกับพี่แทนน้องๆ เด็กกำพร้าที่เขาหลักด้วยนะคะ

หากบันทึกวันนี้ ผิดพลาดประการใด ขอให้น้องกุ้งให้อภัยสามีพี่ด้วย ไม่ว่าพี่จะทำอะไรไม่ดีลงไปในครั้งนี้ ให้ถือซะว่าเป็นความไม่ดีของสามีพี่ไปก็แล้วกันนะ (กรุณาอย่า... งง นี่เป็นมุขหาแพะรับบาป)~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

สิ่งของทั้งหมดที่น้องกุ้งรับบริจาคมา เราจะนำส่งไปให้น้องๆ ที่เขาหลักในโรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่ใช่โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม เพื่อที่ว่าความช่วยเหลือครั้งนี้จะได้กระจายไปสู่น้องๆ เด็กกำพร้าคนอื่นๆ ได้ทั่วถึง สำหรับจะเป็นโรงเรียนใดนั้น ดิฉันจะขออนุญาตติดต่อประสานงานกับโรงเรียนในเขาหลักทุกที่ก่อน เพื่อจะไ้ด้พิจารณาว่า น้องๆ เด็กกำพร้าในโรงเรียนใดที่ขาดแคลนและมีความต้องการความช่วยเหลือมากสุด แล้วจะนำมาประกาศให้ทราบในโอกาสต่อไปนะคะ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

......... อีกหนึ่งหยาด หนึ่งหยดของน้ำใจ ที่จะยังรินไหล รดลงไป ในใจอันร้าวราน.........





Wednesday, April 12, 2006

บันทึกสึนามิ(เธอ....ผู้รอดภัยแต่หัวใจสลาย)




"เธอ.....ผู้รอดภัยแต่หัวใจสลาย" ตอน1


เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว มีการจัดงาน survivors services โดยทางสำนักพระราชวังของพระราชินีอังกฤษและรัฐบาลอังกฤษได้จัดให้ผู้รอดพ้นจากภัยร้ายสึนามิมาเจอกันเพื่อระลึกถึงผู้ประสบภัยและผู้สูญเสียทุกคน ดิฉันอยากไปใจจะขาด แต่มีบัตรเชิญให้แค่ครอบครัวเดวิดและพ่อลิซซี่เท่านั้น จะมานั่งเปลี่ยนชื่อในการ์ดเชิญ ก็ออกจะยากอยู่แถมละอายใจที่จะไปขี้โกงชาวบ้านเขา เลยต้องรอให้พ่อลิซซี่กลับมาเล่าให้ฟัง

เขาเล่าให้ฟังว่า เป็นงานที่เศร้าสลดเป็นที่สุด ชาวอังกฤษน้อยคนนักที่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้วจะรอดมาได้ครบทั้งครอบครัวอย่างเช่นกรณีของครอบครัวเดวิดเพื่อนสนิทของเรา ในงานนี้ พระราชินีอังกฤษเสด็จมาประทานกำลังใจให้ผู้สูญเสียทุกคนด้วย บรรยากาศนั้นแม้จะเศร้าแต่ก็เต็มไปด้วยกำลังใจอันแสนอบอุ่นของทุกคนที่ส่งผ่านให้กันและกันด้วยความเข้าใจในความเจ็บปวดของการสูญเสียด้วยกันทั้งสิ้น

ในจำนวนหลายๆ คนที่พ่อลิซซี่ได้พบปะและพูดคุยด้วยนั้น มีสาวชาวอังกฤษคนหนึ่งที่มีเรื่องราวของการสูญเสียที่น่าเศร้าสลดใจแทนเธอเป็นอย่างยิ่ง วันนี้จึงอยากบันทึกเรื่องของเธอไว้ในบ้านน้ำใจ และขออวยพรให้เธอคนนี้มีพลังใจต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ผ่านมาอย่างเข้มแข็งต่อไป

จริงๆ ดิฉันได้รับทราบเรื่องราวของเธอคนนี้ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์มาก่อนที่จะได้ทราบว่าพ่อลิซซี่ได้เจอเธอในงานด้วย ช่วงนั้นหนังสือพิมพ์อังกฤษลงข่าวสึนามิทุกวี่ทุกวัน แต่มีข่าวหนึ่งซึ่งดิฉันสะดุดตากับภาพข่าวที่เป็นซากปรักหักพังในห้องพักที่โรงแรม โซฟิเทลเขาหลัก มันช่างคุ้นตาดิฉันเหลือเกิน

เพราะครั้งหนึ่ง ก่อนเกิดสึนามิได้ไม่นาน ครอบครัวเราได้ไปพักผ่อนที่โรงแรมนี้ มีสระว่ายน้ำซึ่งทางโรงแรมบอกว่าเป็นสระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก (จริงหรือเปล่าไม่รู้) รู้แต่ว่าใหญ่จริงๆ ลิซซี่สนุกสนานกับการเล่นน้ำเป็นที่สุด ส่วนพวกเราพ่อแม่ก็ชอบห้องพักมากๆ เพราะตกแต่งเป็นไทยๆ ผสมแนวทางใต้เล็กน้อย ทำให้ดิฉันนึกถึงบ้านของปู่ของย่าที่พังงาและภูเก็ตเป็นยิ่งนัก

เมื่อเห็นภาพบนหน้าหนังสือพิมพ์ของห้องที่ถูกทำลายด้วยคลื่นยักษ์สึนามิ จนแทบไม่หลงเหลือความสวยงามอะไรไว้เลย ทำเอาดิฉันถึงกับใจหาย และรีบเปิดอ่านรายละเีอียดของข่าวทันที ข่าวนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับดิฉันไม่ใช่น้อยทีเดียว

และในวันนี้ เรื่องราวของเธอกำลังจะถูกบันทึกอยู่บนบลอกน้ำใจ.....

เธอ....เป็นแม่เดี่ยว(single mum)ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเีดียวถึงสามคน

เธอ....เป็นสาวอังกฤษในวัยสามสิบกว่าย่างสี่สิบ

เธอ....ฝ่าฟันอุปสรรคมากับลูกชายทั้งสามตามลำพัง

จนกระทั่งเธอ....ได้พบรักใหม่กับหนุ่มอังกฤษในวัยใกล้เคียงกัน

เธอ....และเขาได้มอบหัวใจรักแท้ให้แก่กัน

ชีวิตเหมือนได้เริ่มต้นใหม่ เธอพาหัวใจรักของเธอทั้งสาม

คือ หนุ่มคนรัก ลูกชายคนรองและคนสุดท้อง

มาพักผ่อนที่เมืองไทยเพื่อฉลองคริสต์มาสปี2004

ส่วนลูกชายคนโตย่างวัยหนุ่มนั้นติดงานฉลองกับเพื่อนๆ จึงตัดสินใจไม่มาด้วย

ทั้งสี่คนเข้าพักที่โรงแรมโซฟิเทล เขาหลัก ก่อนวันคริสต์มาสเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

เธอเล่าว่า ในวันคริสต์มาสอีฟ(24ธันวา)ก่อนเกิดสึนามิสองวัน

ชายหนุ่มคนรักของเธอมอบของขวัญอันล้ำค่าให้แก่เธอ

ด้วยการคุกเข่าลงขอเธอแต่งงานในห้องพักของโรงแรมโซฟิเทล

เธอบอกว่าวินาทีนั้น มันเหมือนฝัน เพราะเธอไม่เคยคาดหวังการแต่งงาน

หรือการผูกมัด จากชายคนรักมาก่อนเลย เธอรู้ตัวดีว่าเธอไม่ได้เป็นสาวรุ่น

ที่เพียบพร้อมแต่อย่างไรแถมยังมีภาระเลี้ยงลูกชายทั้งสามอีกด้วย

เธอวาดหวังแค่ให้มีเขาอยู่เป็นกำลังใจ ในฐานะคนรัก เธอก็อิ่มเอมใจเป็นยิ่งนักแล้ว

ดังนั้นของขวัญวันคริสต์มาสของเธอในปีนี้จึงล้ำค่าหาอะไรเปรียบปานไม่ได้เลย

เธอรับปากแต่งงานกับเขาทันทีด้วยหัวใจที่ปรีด์เปรม คริสต์มาสอีฟปีนี้ช่างแสนสวยงาม

สำหรับหญิงสาวคนหนึ่งที่ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิตการเป็นแม่เดี่ยวมาเนิ่นนาน

นับจากนี้ไปเธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว เธอจะมีชายคนรักที่แสนดี เป็นเพื่อนร่วมทางชีวิต

คอยดูแล ปกป้อง เป็นกำลังใจ ให้ทั้งเธอและลูกๆทั้งสามด้วย

ชายหนุ่มและหญิงสาวจัดเตรียมของขวัญให้ลูกชายคนรองและคนสุดท้องของเธอ

ก่อนจะจูบลาหนุ่มน้อยทั้งสอง ให้นอนหลับฝันดี

พร้อมที่จะตื่นขึ้นมาเจอวันคริสต์มาสแสนสวย ซึ่งรอคอยอยู่ในวันรุ่งพรุ่งนี้

เช้าวันคริสต์มาสหลังจากหนุ่มน้อยทั้งสองตื่นขึ้นมาเปิดของขวัญของตัวเอง

และกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจกับของขวัญอันแสนถูกใจที่แม่และคนรักจัดให้แล้ว

หนุ่มน้อยทั้งสองก็ถามแม่ว่า แม่ได้อะไรเป็นของขวัญจากคุณลุง(ชายคนรักของแม่)

ก่อนที่แม่จะตอบอะไรออกไป ชายหนุ่มคนรักก็ขอแม่เป็นคนบอกเด็กๆ เอง

ด้วยการหยิบกล่องแหวนแต่งงานยื่นให้เด็กน้อยดู แล้วบอกว่า

"จากวันนี้ไป ฉันอยากให้เธอทุกคน เลิกเรียกฉันว่าลุง ขอให้พวกเธอเรียกฉันว่าพ่อ

ฉันรักแม่ของเธอมากและฉันสัญญาว่าจะดูแลพวกเธอกับแม่เป็นอย่างดี

ฉันจะไม่ทำให้พวกเธอทุกคนผิดหวัง และทั้งหมดนี้เป็นของขวัญของแม่เธอในวันคริสต์มาสนี้"

ทั้งสี่โผเข้ากอดกันกลม และฉลองวันคริสต์มาสกันอย่างมีความสุข

โดยไม่รู้เลยว่า วันพรุ่งนี้จะมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา

ขออนุญาตใส่ประโยคภาษาอังกฤษที่เธอคนนี้เล่าให้ฟังว่าชายหนุ่มบอกลูกๆเธอเกี่ยวกับของขวัญที่แม่ได้รับจากเขา มีอยู่สองสามประโยคที่ดิฉันแปลไปแล้วแต่ก็อยากจะใส่เป็นภาษาอังกฤษไว้ตรงนี้อีกที เพราะดิฉันว่ามันจับใจดีค่ะ

"From now on, you can call me Dad.I do love your mum so much.I promise to look after all of you and I wont let you down.


"เธอ.....ผู้รอดภัยแต่หัวใจสลาย" ตอน2

เช้าวันที่ 26 ธันวา วันมหาวิปโยค หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสี่ยังคงสดใส รื่นเริงกับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันคริสต์มาสเมื่อวานนี้ คู่รักทั้งสองอิงแอบแนบกายกันอยู่บนเตียงอันแสนอ่อนนุ่ม แสงแดดเมืองไทยยามเช้าแยงเข้าตา เมื่อ เจ้าตัวเล็กทั้งสองเปิดประตูห้องวิ่งเข้ามาจูบซ้ายจูบขวาคุณแม่เดี่ยว(ที่ไม่เดียวดายอีกต่อไปแล้ว)กับคุณพ่อ(คนใหม่) จากนั้นหนุ่มน้อยทั้งสองก็ขออนุญาตออกไปวิ่งเล่นตามใจตัว

คนพี่พกพาเกมบอยที่เพิ่งได้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสไปนั่งเล่นอยู่ขอบสระใกล้ห้องนอนของแม่ คนน้องขอไปเล่นในสโมสรเด็กชั้นใต้ดินของล๊อบบี้โรงแรม คู่รักทั้งสองมองเด็กน้อยเดินจากไปโดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นภาพสุดท้ายที่แม่จะได้เห็นลูกน้อยทั้งสอง ครู่หนึ่งผ่านไปในขณะที่เธออยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มคนรัก เธอก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องและยังไม่ทันจะได้รู้ว่ามันเป็นเสียงอะไร ร่างของเธอก็ถูกพลัดพรากออกจากอกของชายอันเป็นที่รักด้วยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก มันคือคลื่นยักษ์สึนามินั่นเอง

หญิงสาวนั้นว่ายน้ำไม่เก่งนัก จึงช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้ ส่วนชายหนุ่มนั้นเป็นครูสอนว่ายน้ำ และดำน้ำ เขาแข็งแรงพอที่จะแหวกว่ายน้ำที่ท่วมขังห้องพักจนเจอแฟนสาว เขาหาทางดันเธอไปที่ประตูทางออก ตามแสงสว่างที่ลอดเข้ามา แล้วพยายามผลักเธอออกไปให้พ้นประตูเพื่อให้หลุดไปด้านนอก เธอเล่าว่าเธอเองก็เป็นห่วงเขาไม่ใช่น้อย เพราะรู้ว่าเขาเองก็อ่อนแรงลงเพราะช่วยเธอ เธอทำท่าเหมือนจะไม่ออกไปให้พ้นห้อง จนเขาต้องทะลึ่งตัวขึ้นมาเหนือน้ำที่ท่วมเกือบถึงเพดานห้อง แล้วตะโกนบอกเธอเป็นคำสุดท้ายในชีวิตของเขาว่า "ออกไปที่รัก ฉันรักเธอ"

เธอเล่าว่าเธอไม่เคยลืมคำสุดท้ายที่เขาบอกกับเธอไว้และจะเก็บมันไว้กับหัวใจของเธอจนวันตาย ด้วยพลังความรักที่เขามีให้เธอ ทำให้เธอหลุึดออกมาข้างนอกได้ เธอว่าย วนจนไปเจอผู้คนที่อยู่ชั้นบนส่งผ้าปูที่นอนลงมาให้เธอยึดจับไว้แล้วพวกเขาก็ดึงเธอขึ้นไปอย่างปลอดภัย เธอยืนมองผืนน้ำรอบๆ ตัว ที่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างน่าสะพรึงกลัว หัวใจเธอตอนนี้แทบจะฉีกขาดเป็นจุล เพราะห่วงลูกชายตัวน้อยทั้งสอง กับคนรักของเธอ

ขณะที่รอน้ำลดเธอได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้ลูกรักทั้งสองและคนรักของเธอเป็นอะไรไปเลย


"เธอ.....ผู้รอดภัยแต่หัวใจสลาย" ตอน3

เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ทุกชีวิตที่เหลืออยู่ ออกวิ่งเพื่อค้นหาอีกหลายชีวิตอันเป็นที่รักของพวกเขา ความรู้สึกหวาดกลัวและความเป็นห่วงลูกๆ กับคนรักของเธอ วิ่งเข้ามาจับอยู่้ที่ขั้วหัวใจ จนลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลทางร่างกาย ที่ได้รับจากมหันตภัยครั้งนี้เสียสนิท

สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือลูกน้อยทั้งสองของเธอ เธอวิ่งออกไปเพื่อค้นหาพวกเขา

แต่...เมื่อเธอผ่านห้องพักที่ขณะนี้พังพินาศไม่เหลือดีเลย หัวใจเธอวูบนึกถึงชายอันเป็นที่รัก เขายังอยู่ในนั้น เขา.....ผู้ซึ่งช่วยชีวิตของเธอไว้ด้วยพลังความรักอันบริสุทธิ์ เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องพัก ด้วยหวังว่าจะพบเขาปลอดภัยอยู่ในนั้น แต่สิ่งที่เธอพบกลับกลายเป็นร่างอันปราศจากลมหายใจของเขาเท่านั้น เธอโอบเขาไว้ในอ้อมกอดขณะตะโกนให้คนช่วยพาเขาไปส่งโรงพยาบาล แม้จะรู้ดีว่าเขาได้สิ้นใจแล้วก็ตาม.................

หลังจากมีคนมาช่วยนำเขาออกไปแล้ว เธอก็รีบวิ่งออกไปยังสระว่ายน้ำเพื่อตามหาลูกชายคนรองของเธอ สิ่งที่เธอเห็นอยู่ข้างหน้านั้นเหลือแต่ซากการถูกทำลายที่น่าสะพรึงกลัว เกินกว่าที่เธอคิดไว้มากมายนัก เธอกวาดสายตาค้นหาลูกชายแทบจะทุกตารางนิ้วของบริเวณนั้น แต่เธอก็ต้องผิดหวัง เธอหาลูกชายไม่เจอ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ มันปวดร้าวและหวาดกลัว อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเธอมาก่อน ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ลูกทุกคนปลอดภัย................

หัวใจตอนนี้แสนอ่อนแอ หวาดกลัว แทบจะขาดใจตายลงไป แต่สัญชาตญาณของความเป็นแม่ทำให้เธอลุกขึ้นสู้ ด้วยการกระชากพลังใจทั้งหมดที่เหลืออยู่ออกมา เพื่อตามหาลูกชายคนสุดท้อง ที่เธอยังมีความหวังอยู่ว่าเขาอาจจะปลอดภัยอยู่ในสโมสรเด็ก

แต่เมื่อเธอวิ่งไปถึงที่นั่น เธอก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปข้างในได้ เพราะประตูทางเข้าถูกทับถมด้วยซากปรักหักพังของคอนกรีตที่ทลายลงมา

สองมือแม่.....หยิบเศษหิน เศษดิน เศษคอนกรีต ขว้างออกไปให้พ้นประตูทางเข้า

แม้ร่างกายเธออ่อนล้า แต่พลังใจในการค้นหานั้นมีเต็มเปี่ยม ด้วยหวังจะช่วยลูกน้อยให้ปลอดภัย เธอเหมือนคนบ้าที่ตะกรุยทางหาแสงสว่างในชีวิต รอบตัวเธอมีแต่ความโกลาหล หลายคนช่วยกันรื้อค้นเพื่อให้เจอทางเข้า เธอถูกบางคนที่มาช่วย ดึงตัวออกมาแล้วเขย่าตัวเธอให้ได้สติว่า แค่สองมืออันบอบบางของเธอนั้นไม่สามารถจะเปิดทางเข้าได้ และบอกให้เธอรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่บางส่วนพร้อมเครื่องมือเข้ามาช่วยแล้ว

เธอถอยออกมายืนมองความช่วยเหลือ แต่ก็ตะโกนเร่งให้พวกเขาช่วยเด็กๆ ได้โดยไวขณะที่รอเปิดทางเข้าอยู่นั้น เธอภาวนาให้ลูกปลอดภัย

และจินตนาการว่า................ ป่านนี้เด็กๆ คงร้องกระจองงองแงกันอยู่ข้างใน เจ้าตัวน้อยทั้งหลายคงร้องหาแม่กันจ้าละหวั่น ด้วยความตกใจและหวาดกลัว ป่านนี้คงทุบประตูเรียก " ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย" กันอยู่้

แต่นั่น....เป็นเพียงแค่ความฝันและจินตนาการของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่คนหนึ่ง ภาพความจริงที่เห็นข้างหน้านั้น มันช่างเป็นภาพที่โหดร้ายเสียเหลือเกิน ภาพเด็กน้อยทั้งหลายสิ้นลมหายใจ ถูกทับถมด้วยซากปรักหักพังในห้องของเล่นที่เธอเคยเห็นว่าเป็นสวรรค์ของเด็กๆนั้น ในเวลานี้มันได้มันกลายเป็นนรกอันโหดร้ายสำหรับเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา

เธอโอบกอดร่างอันไร้วิญญาณของลูกชายตัุวน้อยแล้วร้องไห้จนน้ำตาแทบจะกลายเป็นสายเลือด...................

หัวใจดวงหนึ่งของคนเป็นแม่...........แตกสลายมลายสิ้น

แล้วหัวใจอีกหลายๆดวง ของคนเป็นแม่อีกหลายๆ คนเล่า


"เธอ.....ผู้รอดภัยแต่หัวใจสลาย" ตอนจบ

จากวันนั้น....วันแห่งการทำร้ายทำลายหัวใจของหญิงสาวคนหนึ่งให้แหลกสลายมลายไปกับคลื่นยักษ์สึนามิ .........

เธอ ผู้สูญเสียชายอันเป็นที่รัก และลูกชายตัวน้อยสองคน นั่งอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เธอคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะว่าเธอหาคุณค่าในการดำรงชีวิตต่อไป ไม่เจออีกแล้ว

เพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่งของเธอต้องมานั่งเฝ้าเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอคิดทำร้ายตัวเอง เขาตัดสินใจติดต่อประสานงานไปทางครอบครัวของเธอที่อังกฤษและสถานฑูตให้นำพาหัวใจดวงสุดท้ายของเธอ มาหาเธอ ด้วยหวังว่าเธอจะยังพอมีพลังที่จะอยู่ต่อสู้กับโลกอันแสนโหดร้ายได้ต่อไป และก็เป็นดั่งที่ทุกคนคาดหวัง...................

น้ำตาที่รินไหลของแม่คนหนึ่ง ถูกซับไว้ด้วยหัวใจของลูกชายคนโต ทั้งสองเหลือกันอยู่เพียงแค่สองคนแล้วในตอนนี้

เธอ....ตระหนักได้ว่าคุณค่าสุดท้ายของชีวิตเธอที่เหลืออยู่คือ ลูกชายคนโตคนนี้ เธอจะต้องลุกขึ้นสู้ต่อไปเพื่ออนาคตของเขา เขาบอกเธอว่าเขาเข้าใจแม่เป็นที่สุด ว่าแม่เจ็บปวดแค่ไหน เพราะเขาก็เจ็บปวดและเสียใจไม่น้อยไปกว่าแม่เลยและถ้าหากแม่คิดสั้นจากเขาไปอีกคนหนึ่ง ชีวิตเขาจะเหลืออะไร เขาเชื่อว่าแม่คงเข้าใจในความเจ็บปวดของเขา ถ้าต้องเสียแม่ไปอีกคนหนึ่งเขาคงหัวใจสลายเหมือนดั่งที่แม่เป็นอยู่ตอนนี้ หรืออาจจะยิ่งกว่า...........

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งปี ด้วยคำกล่าวที่ว่า วันเวลาจะรักษาใจนั้น ถ้าเอามาใช้กับเธอก็คงจะเปรียบวันเวลาที่ผ่านมานั้นเป็นได้แค่ยาที่หมดอายุไม่สามารถรักษาใจเธอให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ทุกวันที่อยู่มีลมหายใจได้นั้น ก็ด้วยพลังสุดท้ายในชีวิต........ เพียงเพื่อลูกชายคนโต และสามัญสำนึกของมนุษย์ในการต่อสู้ชีวิต ไม่ขี้ขลาดหนีความทุกข์ด้วยการฆ่าตัวตาย

วันนี้เธอมีแรงออกมาบอกเล่านักข่าวกับเรื่องราวที่ผ่านมา

เธอมีแรงออกมาเจอผู้คนในงาน survivors survices

เมื่อพ่อลิซซี่กลับมาเล่าให้ดิฉันฟังว่าเจอเธอในงานด้วย ดิฉันก็ใคร่อยากจะรู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้างด้วยความเป็นห่วงและเห็นใจอย่างสุดซึ้งพ่อลิซซี่บอกว่า เธอมีท่าทางที่ดููเหมือนจะเข้มแข็งขึ้น เธอทักทายเพื่อนร่วมชะตากรรมและทุกๆ คน ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน แต่ดููเหมือนจะเข้มแข็งในที ทว่าในแววตาของเธอนั้น เขากลับบอกว่า เป็นแววตาของคนที่หัวใจสลายและยังไม่หายร้าวรานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อเธอรู้ว่าพ่อลิซซี่ผูกพันธ์กับประเทศไทย และมีลูกสาวที่ครึ่งหนึ่งเป็นคนไทย เธอจึงฝากบอกความรู้สึกบางอย่างถึงคนไทยว่า ในชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันลืมคนไทยที่แสนดี ที่ทั้งช่วยให้กำลังใจและดูแลเธอในยามนั้นเธอจำได้ดีว่าเมื่อเธอออกวิ่งตามหาลูก เธอมีเพียงแค่ชุดชั้นในที่ขาดหวิ่น ตลอดทางที่เธอผ่านพบคนไทย ทุกคนนำเสื้อบ้าง กางเกงบ้่าง รองเท้าบ้าง เพื่อมาห่อหุ้มกายเธอไว้

เธอบอกถ้าใครได้ฟังอาจจะดููเหมือนว่าเป็นการช่วยเหลือที่แสนธรรมดา แต่สำหรับเธอนั้น ทุกสิ่งที่คนไทยได้ทำให้เธอ มันเป็นยิ่งกว่าการช่วยห่อหุ้มร่างกายเธอเอาไว้ สิ่งที่เธอได้รับมันยังช่วยห่อหุ้มใจเธอให้มีพลังในการตามหาลูกอีกด้วยเพราะแต่ละมือที่หยิบยื่นข้าวของให้นั้น มิได้ส่งผ่านมาให้เปล่าๆ แต่มีสัมผัสที่เธอสามารถรับรู้ด้วยใจว่า อบอุ่นและเห็นใจเธอเป็นยิ่งนัก เธอบอกว่ามันยากจะิอธิบายว่าอบอุ่นแค่ไหน แต่ขอให้เชื่อเธอว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เธอได้รับรู้น้ำใจคนไทยที่ยากจะลืมเลือนและแม้กระทั่งในข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์อังกฤษที่ดิฉันได้อ่าน เกี่ยวกับเธอผู้นี้นั้นในย่อหน้าสุดท้ายของข่าว เธอก็ได้ฝากขอบคุณคนไทยทุกคนด้วยความซาบซึ้งใจเป็นที่สุด

มาวันนี้.....เธอได้กลับไปเยือนชายหาดเขาหลักหน้าโรงแรมโซฟิเทลอีกครั้งหนึ่ง มือข้างหนึ่งของแม่เกาะกุมมือลูกชายคนโตไว้แน่นเหมือนกลัวจะหลุดลอยหนีเธอไปอีกคน

มืออีกข้างกำดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ไว้สี่ดอกเธอวางดอกที่หนึ่งและสองลงบนชายหาดสำหรับลูกชายสุดที่รักทั้งสองคนระลึกและส่งพลังจิตถึงลูกๆ ว่าูแม่นี้รักและคิดถึงลูกสุดชีวิต

ดอกที่สามสำหรับชายหนุ่มที่มอบรักแท้ให้แก่เธอ และเธอจะเก็บมันไว้ตลอดกาลเธอกล่าวบอกรักและสัญญากับเขาในใจว่า จะไม่ท้อแท้คิดฆ่าตัวตายอีกต่อไป เธอตระหนักได้แล้วว่าชีวิตเธอมีค่ามากมายนัก เพราะว่าแลกมาด้วยชีวิตของเขาทั้งชีวิต เขายอมตายเพื่อให้เธอได้อยู่ แล้วเธอจะเลวแค่ไหนที่ทำลายความต้องการของเขา

และดอกสุดท้าย เธอวางไว้ให้เพื่อนร่วมชะตากรรมที่จากไปทุกคน

กุหลาบสีขาวบริสุทธิ์สี่ดอกวางเรียงกันอยู่บนชายหาด

กลีบและใบขยับไหวตามลมเหมือนกับว่าวิญญาณของทุกคน ที่เธอระลึกถึงเมื่อครู่จะรับทราบความในใจของเธอ

เธอหันหลังให้กับทะเลอันดามัน ก้าวเดินออกไปข้างหน้า

แม้หัวใจสลาย แต่ความรักและพลังใจของเธอไม่สลายตามไป

ขอพลังใจและความรักจงอยู่คู่กับทุกคนตลอดไป

ณฐยา






Tuesday, April 11, 2006

บันทึกสึนามิ(เพื่อนฉันกับวันที่โหดร้าย)




บันทึกที่1 แม็กซ์เวลล์และลิซซี่ กับ ฮอลิเดย์สเปเชี่ยล




แม็กซ์เวลล์ เป็นหนุ่มน้อยวัย 7 ปี ลูกชายของเดวิด และ ฟิโอน่า เพื่อนรักเพื่อนสนิทของครอบครัวเรา ส่วนลิซซี่สาวน้อยวัย 8 ปี นั้นเป็นลูกสาวดิฉันเอง ถ้ามีเวลาว่างเราทั้่งสองครอบครัวมักจะร่วมเดินทางไปพักผ่อนด้วยกันเสมอๆ



และ คริสต์มาสปี 2004 สองครอบครัวก็วางแผนเดินทางกันอย่างเช่นเคย ทริปปีนี้ดิฉันเป็นคนตัดสินใจให้ไปสนับสนุนประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของดิฉัน มิใช่เพียงแค่ต้องการให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยอย่างเดียวเท่านั้น ผลพลอยได้อีกอย่างที่สำคัญมากด้วยเหมือนกัน คือ ลิซซี่จะได้กลับไปเยี่ยมคุณยายและครอบครัวที่เมืองไทย



ช่างดูเป็นแผนการฮอลิเดย์ที่แยบยลของดิฉันเหลือเกิน และดิฉันอีกนั่้นแหละที่วางโปรแกรมต่างๆ ให้เราทั้งหมด โดยเราจะเริ่มกันที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ต่อด้วยภูเก็ต และก็จะเป็นเขาหลักในช่วงก่อนวันคริสต์มาสเล็กน้อย แล้วสุดท้ายจะเช็คเอาท์ออกจากเขาหลักประมาณวันบ๊อกซิ่งเดย์คือ วันที่ 26 ธันวาคม 2004 และจะบินต่อไปเสียมเรียบ เพื่อให้ลิซซึ่และ แม็กซ์เวลล์ได้ไปเห็นนครวัดนครธมอันลือชื่อ



เหตุจูงใจที่แนะนำให้พักที่เขาหลักก็เพราะว่าได้เคยไปโซฟิเทลเขาหลักมาเมื่อต้นปี 2004 และรู้สึกประทับใจมากๆ ก็เลยมั่นใจว่าเพื่อน และลูกๆ ของพวกเราต้องชอบแน่นอน



บันทึก2 Destiny.....ชะตาฟ้าลิขิต

และแล้วแผนการทุกอย่างก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยเหตุว่าเราจำเป็นจะต้องอยู่ช่วยน้าทำร้านอาหารในช่วงคริสต์มาสซึ่งเป็นไฮซีซั่นและโอกาสในการทำเงินที่ดีที่สุดของร้านอาหารไทยในอังกฤษ เพราะว่าน้องที่เป็นพนักงานคนหนึ่งของน้าหยุดไปฉลองกับเพื่อนๆ ที่มหาลัยต่างเมือง


และด้วยความเป็นครอบครัวแบบชาวไทย ที่พี่น้องต้องช่วยเหลือกัน และน้าก็เป็นคนดีมากๆ ก็เลยจำต้องตัดใจขอไม่เดินทางไปพักผ่อนในทริปนี้ ทุกคนออกอาการหงุดหงิดทันที เพราะว่างานนี้ขาดพี่เลี้ยงเด็กซะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อลิซซี่ เพราะว่าฝรั่งเค้าถือว่าคริสต์มาสเป็นวันที่ครอบครัวควรจะอยู่พร้อมหน้า พร้อมตากัน


แต่ด้วยความที่สั่งสมประสบการณ์ในการเป็นเขยชาวไทยมานานนับสิบปี ทำให้อาเฮียผมทองเข้าใจเรื่องความช่วยเหลือกันของคนในครอบครัวได้ในที่สุด


และแล้วทุกคนก็เดินทางไปถึงเมืองไทยในวันที่ 16 ธันวาคม 2004 ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวจึงได้โทรตามไปติดๆ คุณยายลิซซีรับสาย จึงได้คุยกันเล็กน้อยและคุณยายบ่นว่าได้อยู่กับลิซซี่น้อยมาก เพราะลิซซึ่ต้องลงไปภูเก็ต ว่าแล้วก็ขอร้องแกมบังคับว่าให้พ่อลิซซึ่ไปคนเดียวได้ไหม เพราะลิซซี่ก็เที่ยวมาหมดแล้ว


เอาล่ะสิงานนี้ต้องงัดตำราออกมาเจรจาต้าอวยกับพ่อลิซซี่อีกรอบซะแล้ว โชคดีที่เขาเข้าใจและเห็นใจคุณยาย ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คุณยายปรารถนา คือลิซซี่ได้อยู่กรุงเทพฯยาวไปจนถึงวันที่ 27 ธันวา แล้วค่อยออกเดินทางไปเสียมเรียบ พร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่ต้องกลับขึ้นมาจากเขาหลักในวันที่ 26 ธันวา 2004


ฝรั่งเค้าเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่า Destiny แต่เราชาวพุทธก็ว่าเป็นเรื่องชะตาฟ้าลิขิต ดวงยังไม่ถึงคาด สองคนแม่ลูกแคล้วคลาดจากภัยร้ายไปแล้ว


แต่...................คนอื่นๆ ล่ะจะเป็นอย่างไร !




บันทึกที่3 สึนามิ ตอน destiny..........ชะตาฟ้าลิขิต ภาค2 (ตอนวันมหาวิปโยค)



ในวันคริสต์มาสเช่นนี้ ในประเทศอังกฤษนั้นช่างดูมีสีสรร คึกคัก กว่าในประเทศไทยหลายเท่านัก(ก็แหงล่ะ มันเป็นประเพณีของพวกเค้านี่นา) ไม่อินก้อต้องอินไปกะเค้าด้วย ก็ประเภทว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม

วันนี้น้าปิดร้าน 2 วัน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวีคก่อนคริสต์มาสแล้ว ส่วนเราก็เหลือเวลาช่วยงานเฉพาะกิจครั้งนี้แค่ช่วงปีใหม่เท่านั้นเอง ก็จะได้ไปนอนตีพุง เลี้ยงลูก เป็นอีแจ๋วต่อไป เช้าวันคริสต์มาสเราตื่นแต่เช้าเพราะเวลาเมืองไทยก็ปาเข้าไปจะบ่ายสองอยู่แล้ว ตื่นมาปุ๊บก็รีบโทรหาลิซซี่ที่เมืองไทยทันที เื่พื่ออวยพรวันคริสต์มาส ดูลิซซี่จะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แถมยังบอกว่าหนูอยากลอยกระทงมากกว่า ดี ดี ลูก เอียงมาทางคนไทยเยอะๆ น่ะดีแล้ว

ตอนกลางวันแม่ครัวที่ร้านทำอาหารไทยอิสานให้พวกเราทานฉลองคริสต์มาสแทนไก่งวง เก๋ชะมัด อย่างแซ่บเลยทีเดียวเชียวหล่ะ ไก่งวงหรือจะมาสู้ไก่ย่างบ้านนาของเราได้ หลังฉลองภาคกลางวันกับพี่ๆ น้าๆ ที่ร้านอาหารไทยเสร็จ เพื่อนก็มารับไปงานปาร์ตี้บ้านจิลล์ คืนนั้นต้องค้างบ้านจิลล์เพราะว่า ทุกคนเมาไม่ขับ กันหมด เลยไม่มีใครมาส่ง

ส่วนเราเมาน้ำเปล่า เพราะกินเหล้าไม่เป็น ตื่นซะสายเหมือนกัน แม่จิลล์มาปลุกบอกว่ามีโทรศัพท์เราพอไปรับสายก็เป็นซิลเวียกับเจฟฟ์โทรมา บอกมีสึนามิที่เมืองไทย ตาสว่างทันที

รีบเปิดทีวีดูกัน แล้วกดโทรศัพท์กลับบ้าน โอ แม่เจ้า ไม่มีใครรับสาย แย่แล้วใจสั่นมาก ลิซซึ่น่ะคงปลอดภัย แล้วอาเฮียผมทองล่ะ โทรเข้ามือถือคุณยายลิซซี่ก็ไม่รับสาย เอางัยล่ะเนี้ย โทรหาน้องคนนึงที่ภูเก็ต น้องบอก "เด็กๆ พี่ ไม่มีอะไรแค่รถตกน้ำ" เออ ค่อยยังชั่วหน่อย

พอตอนบ่าย ซิลเวียให้คนมารับไปทานข้าวที่บ้าน ก็เลยไปนั่งดูทีวีที่นั่นต่อ พวกฝรั่งบอก เธอแน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไร ข่าวดูน่ากลัวออก เออซินะ น้องเค้ามั่วนิ่มหรือเปล่าเนี้ย

โทรหาคุณยายลิซซี่อีกที ติดแล้วคราวนี้ คุยกับคุณยายได้ความว่า.... พ่อลิซซี่อยู่กรุงเทพฯแล้ว เค้าแยกกับเดวิดและฟิโอน่าที่ภูเก็ต พอดีเจมส์เพื่อนอีกคนตามมาจากอังกฤษ เจมส์ บอกอยากให้พ่อลิซซึ่ไปเป็นเพื่อนที่พีพี เค้าไม่อยากไปเขาหลัก พ่อลิซซึ่ก็เลยทิ้งโรงแรมที่จองที่เขาหลักไปเป็นเพื่อนเจมส์ เพราะเห็นว่าเดวิดมีครอบครัวอยู่ด้วยแล้ัว

ระหว่างไปติดต่อเรื่องการเดินทางพ่อลิซซึ่บอกกับเจมส์ว่าจับเครื่องไปสมุยง่ายกว่าไปพีพี เพราะเค้าขี้เกียจที่จะต้องนั่งเรือไปเกาะ นี่มัน destiny.....ชะตาฟ้าลิขิต พาให้ครอบครัวเราปลอดภัยครบทุกคน

เป็นห่วงก็แต่เดวิดและครอบครัว เท่านั้น เพราะตามกำหนดการ พวกเค้าต้องถึงกรุงเทพฯ บ่ายของวันที่ 26 ธันวา แต่ตอนที่เราคุยกับแม่เรานั้นก็เป็นเวลา 3-4 ทุ่่มแล้ว แต่ทำไมยังไม่มากัน.......



บันทึกที่4 สึนามิ ตอน รอคอย............

ตีหนึ่งเวลาของอังกฤษ เราโทรหาแม่ ซึ่งเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าเมืองไทยของวันที่ 27 ธันวาคม เราอยากจะเช็คว่าทุกคนบินไปเที่ยวนครวัดนครธมหรือยัง

เราหวังแต่จะได้ยินแม่บอกว่าทุกคนไปกันหมดแล้ว นั่นจะหมายถึงว่าครอบครัวเดวิดได้กลับมาถึงกรุงเทพ อย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่เราได้ยินกลับเป็นสิ่งที่เราหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาหลังทราบข่าวสึนามิ

คุณยายของลิซซี่เล่าว่า พ่อลิซซึ่โทรมาในวันคริสต์มาสขอให้คุณยายช่วยทำกับข้าวไทยๆ และจัดงานฉลองวันคริสต์มาสย้อนหลังให้เด็กๆ และครอบครัวเดวิด พร้อมเพื่อนๆ ชาวอังกฤษ ที่จะมากันที่บ้านคุณยายในวันบ๊อกซ์ซิ่งเดย์(26 ธันวาคม 2004)

วันนั้นคุณยายและคนที่บ้านเราก็เลยไม่ได้ดูข่าว เพราะว่ามัวแต่วุ่นวายกับการเตรียมการจัดงาน สถานที่ รวมไปถึงข้าวปลาอาหาร(ไทย)ซึ่งเป็นเมนูสำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ส่วนพ่อลิซซึ่ก็มานั่งรอเดวิดที่บ้านคุณยาย ทุกคน รอแล้ว รอเล่า ก็ยังไม่ปรากฎกายของครอบครัวเดวิดเลย ช่วงกลางวันที่นั่งรอกันอยู่ทุกคนก็ยังเฉยๆ คิดกันแต่ในแง่ดีว่า เครื่องบินดีเลย์ หรือแท็กซี่จากสนามบินพาพวกเขาหลงทางหาบ้านคุณยายไม่เจอ

ทุกคนรู้ว่าเช้านั้นเดวิดและครอบครัวต้องเช็คเอาท์ออกมาแต่เช้า พวกเขาก็น่าจะปลอดภัย พี่ชายของเราพาลูกๆ มาที่บ้านคุณยายเพื่อมาร่วมงานปาร์ตี้ด้วย เขาเป็นคนเดียวที่รู้แล้วว่า ภัยครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เนื่องจากติดตามข่าวมาตลอด

ก็เลยพยายามโทรไปเช็คที่โรงแรม หรือ หน่วยราชการต่างๆ ที่พอจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเดวิดและครอบครัวได้ แต่ทางหน่วยงานเหล่านั้นก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออะไรได้มากนัำก เนื่องจากเพิ่งเกิดเหตุใหม่ๆ และยังไม่มีศูนย์กลางข้อมูลที่ดีนัก

ตอนนี้เรื่องงานปาร์ตี้น่ะลืมไปได้เลย อาหารที่เตรียมไว้ตอนนี้เย็นชืด ถูกตั้งทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเต็มไปหมดโดยไม่มีใครสนใจ

ความกังวลเพิ่มขึ้น ตามเข็มนาฬิกาที่หมุนไป.......... นาทีแล้ว......นาทีเล่า ชั่วโมงแล้ว.......ชั่วโมงเล่า

จนกระทั่ง เกวินเพื่อนสนิทอีกคนโทรมาจากอังกฤษตอนดึกวันนั้นว่า เดวิดได้โทรไปหาบอกว่าเจอคลื่นยักษ์สึนามิและตอนนี้ลูกเมียหายไปหมด เขาบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนนี้เค้าต้องการความช่วยเหลือในการตามหาลูกเมียด่วน

โดยขอให้ช่วยหาเบอร์มือถือเมืองไทยของพ่อลิซซี่ให้หน่อย(พ่อลิซซี่ไม่ได้เอาเบอร์อังกฤษมาใช้ แต่ใช้เบอร์เมืองไทยที่เคยซึ้อไว้ครั้งก่อนที่มาเที่ยว และเดวิดก็ทราบเบอร์แล้วแต่อยู่ในกระเป๋าที่หายไปกับน้ำ จึงโทรหาพวกเราไม่ได้)

จริงๆ เกวินนั้นไม่มีเบอร์มือถือเมืองไทยของพ่อลิซซี่เลย แต่เกวินก็พยายามทุกวิถีทางด้วยการตั้งหน้าตั้งตาโทรหาเพื่อนทุกคนในกลุ่ม ว่าใครมีเบอร์มือถือของพ่อลิซซี่บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เนื่องจากส่วนใหญ่ก็จะมีแต่เบอร์อังกฤษ แต่ด้วยความพยายามบวกกับความโชคดี มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยมาเที่ยวเมืองไทยครั้่งก่อนกับพ่อลิซซี่ ได้แลกเบอร์เมืองไทยกันไว้ในตอนท่องเที่ยวด้วยกัน และยังได้เก็บเบอร์อยู่

หลังจากเกวินวางสายไป ทุกคนก็นั่งรอโทรศัพท์เดวิด แต่เดวิดก็ยังไม่โทรเข้ามาเลย มันช่างเป็นการรอคอยที่ทุกข์ทรมานที่สุด



บันทึกที่5 สึนามิ ตอน .................ลิซซี่สอนพ่อสวดมนต์

คืนของวันที่ 26 ธันวาคม หลังเกิดสึนามิและทุกคนรู้ข่าวของเดวิดและครอบครัวว่า

เดวิดบาดเจ็บเล็กน้อยหนีออกมาทัน แต่ยังไม่ติดต่อกลับมาแม็กซ์เวลล์ ลูกชาย หายไป ฟิโอน่า ภรรยา หายไป

กรุงเทพฯ ที่บ้านคุณยายลิซซี่

ทุกคนอยู่รวมกัน ไม่มีใครได้นอน พี่ชายเราช่วยพ่อลิซซี่ติดต่อกับทุกหน่วยงานที่พอจะหาข่าวสารของเดวิดได้ นั่งโทรศัพท์กันทั้งคืน.....

พ่อลิซซี่และเพื่อนตัดสินใจว่าถ้าเดวิดยังไม่โทรมา พรุ่งนี้ทุกคนจะลงไปเขาหลัก ความตึงเครียด กังวล ทุกข์ใจ แผ่ออกไปทั่วบ้านคุณยาย

ลิซซี่ไม่นอนเหมือนกัน เพราะโตพอที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ลิซซี่นั้นรักและสนิทกับแม็กซ์เวลล์มาก ส่วนเดวิดนั้นก็เป็นพ่อทูนหัวของลิซซี่ ความผูกพันของครอบครัวเราทั้งสองนั้น มันมากกว่าความเป็นเพื่อน พ่อลิซซี่เคยบอกว่า พวกเขาและพวกเราสามารถที่จะทำอะไรให้ต่อกันได้ โดยไร้เงื่อนไข

คุณยายเล่าว่า ลิซซี่เดินไปบอกพ่อ ประสาเด็กๆ ว่า "ลิซซี่กลัวแม็กซ์เวลล์กับฟิโอน่าตาย"

"ลิซซี่สงสารอังเคิลเดวิด""ลิซซี่จะสวดมนต์ให้พระคุ้มครองไม่ให้พวกเขาตาย" ทุกคนเงียบ อึ้งกับวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของลิซซี่

หลังจากนั้น คุณยายก็ได้ยินลิซซี่นำฝรั่งสวดมนต์อยู่ในห้องนอน เป็นบทสวดสั้นๆ ที่คุณยายสอนให้ลิซซี่สวดก่อนนอนทุกคืน คือการตั้งนะโม 3 จบ แต่พอถึงบท อิติปิโส ชาวต่างประเทศทั้งหลายเริ่มงง ลิซซี่เลยบอกให้ทุกคนนั่งสมาธินึกถึงครอบครัวเดวิด แล้วลิซซี่ก็สวดคนเดียว

เราจำได้ว่าเพื่อนๆ ฝรั่งทุกคน ตอนกลับมาถึงอังกฤษและเจอกับเรา ทุกคนเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังด้วยน้ำเสียงที่ประทับใจ และมีศรัทธาจริงๆ และที่สำคัญทุกคนบอกว่า เป็นวิธีคลายความกังวลที่ดีมากๆ ทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นชาวพุทธ (ขอบคุณลิซซี่ ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนะลูก)




บันทึกที่ึ6 สึนามิ ตอน .................วินาทีของเดวิด

ในที่สุด เดวิดก็ติดต่อกลับมา ตอนเช้ามืด

เขาเล่าว่า

ก่อนเกิดสึนามิไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เดวิดได้ทำการเช็คเอาท์อยู่ที่ล้อบบี้ด้านหน้าโรงแรม ส่วน ฟิโอน่ากับแม็กซ์เวลล์นั้นเก็บข้าวของอยู่ในห้องพักใกล้ชายหาด และจะตามมาเจอกันหน้าโรงแรม

ระหว่างรอเคลียร์บิลค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงกระจกแตกเปรี้ยง เห็นน้ำสาดกระจายเข้ามาเต็มไปหมด เดวิดเล่าว่าคิดอะไรไม่ทันเลย รู้แต่ว่าสิ่งแรกที่ทำคือ วิ่งเข้าไปดึงน้องพนักงานโรงแรมที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งให้พ้นจากเศษกระจกชิ้นใหญ่ที่พุ่งเข้ามาตามแรงน้ำ สิ่งต่อมาที่ทำ คือพยายามจะวิ่งกลับไปที่ห้องพักเืพื่อตามหาฟิโอน่าและแม็กซ์เวลล์

แต่.... น้ำที่สาดเข้ามายังกับพายุนั้น ทำให้เขาวิ่งฝ่าออกไปไม่ได้ เมื่อเดวิดตระหนักได้แล้วว่า ไม่สามารถจะกลับเข้าไปด้านหน้าหาดได้แล้ว เขาจึงหันมาช่วยเด็ก และ ผู้หญิง หรือแม้กระทั่งผู้ชายที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ในห้องโถงโรงแรม ตอนที่เดวิดเล่าเรื่องนี้ให้ฟังที่อังกฤษ เรานับถือน้ำใจเขามากๆ และเชื่อว่าเขาเข้มแข็งพอ (ทั้งร่างกายและจิตใจ)ที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในยามคับขัน แม้ใจจะกังวลห่วงภรรยาและลูกมากเท่าใดก็ตาม

หลังจากทุกคนหนีออกมาอยู่ในที่ปลอดภัยได้แล้ว เดวิดมองกลับไป ภาพที่ปรากฎอยู่เบี้องหน้า มันทำให้หัวใจเขาแตกสลาย ไม่ใช่แค่ลูกและภรรยาเขาเท่านั้น ที่ถูกคลื่นใจร้าย ซัดพากลืนหายไปที่ใดที่หนึ่ง แต่หากว่าผู้คนอีกมากมายก็ตกเป็นเหยื่อคลื่นใจร้ายนี้ด้วยเช่นกัน ทีแรกเขาบอกว่า พยายามถามตัวเองว่า นี่เป็นแค่ภาพฝันร้าย หรือเปล่า เขาอยากจะให้มันเป็นแค่ภาพฝันซะจริงๆ แต่สุดท้ายเดวิดก็ต้องยอมรับความจริงว่า ภาพข้างหน้านั้นเป็นเรื่องจริง

ตอนเพื่อนๆ เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่อังกฤษ ทุกคนถามเขาคำถามเดียวกันว่า เขารู้สึกอย่างไร ณ วินาทีนั้น เดวิดตอบว่า วินาทีแรกรู้สึกใจวูบไปเมื่อนึกถึงภรรยาและลูกว่ายังอยู่ในห้องพัก และยังไม่รู้ชะตากรรมพวกเขา ความรู้สึกกลัวการสูญเสีย วิ่งขึ้นมาเป็นริ้วเข้าไปจับอยู่ในทุกอนูของร่างกายเขา แต่ความรู้สึกเหล่านี้อยู่กับเขาได้แค่ไม่เกินลมหายใจ 1 เฮือกใหญ่ ที่เขาสูดเข้าไป เพื่อสร้างพลังใจให้กลับมา หลังจากนั้นเดวิดบอกว่าเขาไม่เคยรู้สึกเข้มแข็งอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

เหตุผลที่เขาต้องเข้มแข็งให้มากที่สุดก็เพราะว่า เขารู้ตัวว่าต้องทำอะไรอีกมากมายในการตามหาลูกเมีย ถ้าขาดสติ หรือท้อแท้ แม้แต่นิดเดียว เขาอาจพ่ายแพ้ และล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นซะด้วยซ้ำไป

สิ่งที่เดวิดเล่าให้พวกเราฟังตอนตามหาสองแม่ลูกนั้น ก็จะขออนุญาตไม่เล่านะคะ เพราะโดยรวมๆ เท่าที่ฟังก็อารมณ์เดียวกับที่ผู้ประสบภัยหลายๆ คน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เคยบอกเล่าผ่าน หนังสือพิมพ์นั่นแหละค่ะ

แต่.....มีนิดนึงที่น่าสนใจคือความรู้สึกของเดวิดที่บอกว่า ช่วงเวลานั้นเขารู้สึกเหมือนว่าโลกมันซ้อนกันอยู่ คือ ในโลกของความโหดร้ายนั้น มีโลกของความอบอุ่นสวยงามซ้อนอยู่อีกใบ เป็นโลกแห่งความเอื้ออาทร ความช่วยเหลือและห่วงใยกันและกัน ของมนุษย์ ไม่ว่าจะต่างสีผิว ต่างภาษา ต่างเชื้อชาติ และ.........เดวิดฝากบอกคนไทยทุกคนด้วยว่า

" คนไทย(ดีๆ)ใจดีที่สุดในโลก"

*หมายเหตุ ตรงคำว่า(ดีๆ)ข้างบนนี้ดิฉันเติมเองค่ะ เดวิดไม่ได้พูด ขอประทานอภัย






บันทึกที่7 สึนามิ ตอน "ซุปเปอร์บอย" vs "ซุปเปอร์แมน"

ซุปเปอร์บอย นำแสดงโดย แม็กซ์เวลล์

ซุปเปอร์แมน นำแสดงโดย คุณกอล์ฟ หนุ่มไทยใจดีแห่งโรงแรมเมอร์ลิน เขาหลัก

หลังจากคลื่นสงบลง เดวิดตามหาภรรยาและลูกเป็นเวลาหลายชั่วโมง แว่นสายตาที่ใส่ติดตัวอยู่ตลอดเวลาก็หายไป ทำให้เขามองอะไรไม่ค่อยเห็น ตลอดทางที่ผ่านไป มีแต่ภาพความสลดหดหู่ จนทำให้เขาเริ่มที่จะคิดในแง่ร้ายว่าเขาคงสูญเสียภรรยาและลูกไปแล้ว ทุกเวลา นาที ที่เริ่มหมดหวัง เขาต้องคอยกระชากความคิดร้ายๆ ออกไป และคอยบอกตัวเองตลอดเวลาว่า ลูกเมียคงจะปลอดภัยอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง

และแล้ว............ปาฎิหารย์ก็เกิดขึ้น ขณะที่เขาเดินเลาะผ่านเนินหินริมชายหาดเืพื่อขึ้นไปยังศูนย์ให้ความช่วยเหลือที่มาจัดตั้งชั่วคราว เขามองเห็น เจ้าตัวน้อยแม็กซ์เวลล์นั่งจ๋องอยู่ในเต้นท์ปะปนกับผู้คนมากมาย เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาตะโกนเรียกลูกชายด้วยเสียงอันดังลั่นเหมือนกับว่าจะให้คนทั้งโลกได้ยินเขาไปด้วย

เจ้าตัวน้อยหันมาตามเสียง แล้วกระโดดโลดเต้น ตะโกนบอกคนนู้นคนนี้ว่า "พ่อผมมาแล้ว พ่อผมมาแล้ว บอกแล้วพ่อต้องมา" สองคนพ่อลูกวิ่งหากันเพื่อให้ได้สัมผัสอ้อมกอดของกันและกัน และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า นี่คือความจริงมิใช่ความฝัน สิ่งแรกที่เดวิดถามลูกคือ "เจ็บไหม เป็นอะไรหรือเปล่า" แม็กซ์เวลล์บอกว่า ไม่เจ็บ ไม่เป็นอะไรเลย มีแผลเหมือนกิ่งไม้ข่วนอยู่นิดหน่อยตามข้อศอก

คำถามที่ตามมาหลังจากรู้ว่าลูกปลอดภัยแล้วคือ "แม่ล่ะ" แม็กซ์เวลล์เล่าว่า เท่าที่จำได้พอน้ำซัดเข้ามาในห้อง แม่ก็กอดเขาไว้แน่น แต่สุดท้ายเขาก็หลุดออกจากอ้อมอกแม่

(ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลนิดนึงว่า ในตอนนั้นแม็กซ์เวลล์อายุ 6 ขวบแต่ตัวเล็กกว่าเด็กฝรั่งที่รุ่นราวคราวเีดียวกันพอสมควร เพราะเป็นเด็กหลอดแก้ว)

ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราว ที่เล่าจากปากแม็กซ์เวลล์

หลังจากหลุดจากอ้อมกอดแม่แล้ว เจ้าตัวน้อยบอกว่าเหมือนถูกน้ำรัดตัวแล้วเหวี่ยงตัวเขาไปมา คงเป็นความโชคดีของเขาที่ตัวเล็กและประตูห้องได้ถูกเปิดทิ้งไว้ (เนื่องจากทั้งสองคนเตรียมจะออกจากห้องกันแล้ว) ทำให้เขาหลุดออกมาข้างนอกได้ มิเช่นนั้นอาจถูกน้ำท่วมขังอยู่ในห้องเหมือนเหยื่อรายอื่นๆ

ในช่วงเวลาที่แม็กซ์เวลล์โดนคลื่นซัดลงทะเล เจ้าตัวน้อยบอกว่า รู้สึกเหมือนจมน้ำ มีแต่ความมืด สักพักเขาถึงเห็นแสงสีแดง เจ้าตัวน้อยจึงพุ่งตัวไปตามแสงสีแดงนั้น เขาคว้าท่อนไม้เล็กๆ ได้อันหนึ่ง แล้วก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาบนผิวน้ำ ลอยคออยู่ในทะเลพักนึง จนกระทั่งเห็นแผ่นหลังคามุงจากซึ่งลอยอยู่ในน้ำ เจ้าตัวน้อยของเราก็เลยกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น ลอยเคว้งคว้างอยู่ในทะเลเป็นเวลาหลายชั่วโมง

แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในทะเล แม็กซ์เวลล์ก็ตะโกนให้คนช่วยอยู่เป็นระยะๆ พอเหนื่อยก็หยุดพัก (นึกภาพแล้วรู้สึกสงสารจับใจ) และด้วยความโชคดีของเขา ได้มีหนุ่มไทยใจดีนามว่า กอล์ฟ ได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยของแม็กซ์เวลล์ เขาจึงว่ายน้ำไปช่วยเจ้าตัวน้อยขึ้นมาได้ และนำไปส่งให้กับศูนย์ให้ความช่วยเหลือชั่วคราว ทำให้พ่อลูกได้เจอกัน

ขอบคุณ คุณกอล์ฟ ซุปเปอร์แมนในใจของพวกเรา ที่สุดในโลก (ดิฉันได้เขียนเรื่องราวของคุณกอล์ฟแยกไว้ต่างหาก และขณะนี้ได้ขออีเมล์คุณกอล์ฟกับเดวิดแล้ว หวังว่าจะได้คุยกับคุณกอล์ฟเพิ่มเติมก่อนนำเสนอเรื่องราวของเขาในบันทึกต่อๆไป)

เมื่อครั้งที่แม็กซ์เวลล์เล่าเรื่องราวให้พวกเราฟัง เขาพูดย้ำไปย้ำมาว่า เขาโชคดี โชคดี โชคดีจริงๆ แต่พวกเราบอกเขาไปว่า มันไม่ใช่แค่โชคดีหรอกลูกเอ๋ย เจ้าน่ะกล้าหาญ(brave heart)ด้วยต่างหาก แล้วพวกเราก็ยกตำแหน่งซุปเปอร์บอยให้เขาไป เขาหัวเราะชอบใจใหญ่ คงดีใจที่ได้เป็นซุปเปอร์บอย

ตอนหลังลิซซี่ถามว่าแล้วยูหิวมั้ยระหว่างลอยอยู่ในทะเลน่ะ เขาตอบว่า หิวมาก เลยลองกินน้ำทะเลเข้าไป แล้วกระซิบบอกลิซซี่(เหมือนกลัวว่าคนไทยแถวๆ นั้นจะได้ยินแล้วน้อยใจ)ว่า น้ำทะเลเมืองไทยนะ เค้ม เค็ม โธ่ ลูกเอ๋ย น้ำทะเลที่ไหนมันก็เค็มเหมือนกันหมดล่ะ เอ๊ หรือของเราจะเค็มกว่าที่อื่นจริงๆ

ขอจบบันทึกตอนนี้ ด้วยภาพสองคนพ่อลูกจูงมือกันออกเดินตามหาแม่............




บันทึกสึนามิตอนที่ 8 ..........."ความรู้สึกผิด" กับ คำว่า"เพื่อนแท้"

ไม่รู้ชะตากรรมของบล๊อกนี้หรือเวบนี้ว่าจะเป็นอย่างไรในวันต่อๆ ไป บางทีเปิดมาอาจเจอกันเหมือนเดิม บางทีอาจไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว เป็นสัจธรรมจริงๆ แม้กระทั่งตัวเราเองก็เถอะ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราต่อไป ทุกเวลานาทีนั้นจึงมีค่าเสมอเรื่องอะไรจะปล่อยไปให้เสียเปล่า ว่าแล้ววันนี้จึงอยากขอบันทึกแป้นพิมพ์นี้ จากบันทึกมือที่ใช้ปากกาขีดเขียนไว้เมื่อ 27 ธันวาคม 2547 เป็นรอยน้ำหมึกที่ถูกบันทึกไว้ ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หวั่นไหว หวาดกลัว และรู้สึกผิด อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สองวันแล้วทุกคนยังตามหาฟิโอน่าไม่เจอ ทุกคนทำใจและคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับกันให้ได้ โทรหาพ่อลิซซี่อีกที อยากได้ยินเสียงเดวิดและแม็กซ์เวลล์ อยากรู้ว่าสองคนพ่อลูกเป็นอย่างไรบ้าง อยากให้กำลังใจ อยากขอโทษที่เป็นต้นเหตุ อยากบอก ว่ารู้สึกผิด ต่อพวกเขา แต่ก็ยังไม่มีโอกาส เพราะพ่อลิซซี่บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ เขาบอกอย่าคิดมาก เขาจะช่วยเดวิดให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ฉันจึงได้แต่พร่ำไปกับพ่อลิซซี่ว่า

"ฉันรู้สึกผิด"

"ฉันทำให้พวกเขาต้องไปเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายครั้งนี้"

"แล้วถ้าฟิโอน่าเป็นอะไรไป เดวิดกับแม็กซ์เวลล์จะทำอย่างไร อยู่อย่างไร"

"พ่อแม่ พี่น้องของฟิโอน่าล่ะ จะรู้สึกอย่างไร"

"ป่านนี้ฟิโอน่าจะเป็นอย่างไร ถ้าฟิโอน่าตาย ฉันจะทำอย่างไร"

มันเป็นเพราะฉันคนเดียวแท้ๆ ที่เสนอหน้าออกแบบทริปฮอลิเดย์ครั้งนี้ รู้สึกปวดท้อง และใจมันโหวงๆ เลยบอกเขาว่าเดี๋ยวโทรมาใหม่ เสร็จแล้วก็แอบร้องไห้ กลัว กลัวจริงๆ ทำไงดี ผ่านไป แค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง โทรไปอีก หวังจะได้ยินว่า พวกเขาเจอฟิโอน่าแล้ว แต่.....คำตอบที่ได้ยินมันก็คือคำตอบที่ไม่ได้อยากได้ยินเช่นเดิม คราวนี้เว้นระยะโทรนานๆ หน่อยดีกว่า คำตอบก็ยังเป็นคำตอบที่แย่ๆ เหมือนเดิม "ยัง ยังไม่เจอ" เกลียดตัวเองมากเลย

เว้นระยะนานแล้ว โทรอีกดีกว่า คำตอบยังเหมือนเดิม นี่มันจะเข้าวันที่สามแล้วนะ หากันให้เจอไม่ได้หรือ อยากจะอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะเห็น จะรับรู้ทุกอย่าง และจะได้ทำทุกอย่างที่จะทำได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ โทรครั้งนี้พ่อลิซซี่บอกเขาคุยกับเดวิดแล้ว เรื่องที่เรารู้สึกแย่ รู้สึกผิด เดวิดฝากบอกว่า ห้ามคิดอย่างนั้นเด็ดขาด ชะตาชีวิตของคน และภัยธรรมชาติ นั้นเราไม่อาจควบคุมมันได้ ไม่ได้มีใครผิดทั้งสิ้น

เราจึงขอคุยกับเดวิด อยากจะขอโทษที่ อ่อนแอ และ ขี้ขลาด เดวิดบอกกับเราว่า ทุกคนต้องเข้มแข็งในภาวะแบบนี้ และอยากให้เราเข้มแข็งด้วยเหมือนกัน เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เข้าใจไหม เขาย้ำอีกว่า เราคือครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟิโอน่า พวกเราต้องพร้อมที่จะยอมรับ และอยู่ต่อไปให้ได้ เพื่อทุกคนที่ยังเหลืออยู่

สุดท้ายเขาบอกกับเราว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้สึกผิดเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขามีความสุขที่ได้อยู่เป็นเพื่อนแท้กับครอบครัวเรา จนในวันนี้...ในยามที่เขาทุกข์ทนเจียนขาดใจ เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมของภรรยา เขาก็ยังมีพ่อลิซซี่ และครอบครัวของเราที่เมืองไทยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา

สุดท้ายฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี แม้ว่าจะไม่ใช่กับเรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องไปเจอกับภัยอันโหดร้ายแล้วก็ตาม แต่ทว่า....เป็นความรู้สึกผิด ที่ขี้ขลาด อ่อนแอ และดูถูกน้ำใจเพื่อนแท้ต่างหาก......ขอโทษจริงๆ ฉันรู้ว่าเขาจะให้อภัยฉันเสมอ แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะขอโทษ อยู่เสมอ เพราะคำขอโทษและความรู้สึกผิดอันนี้ มันจะเตือนใจให้ฉันไม่ลืมว่า

ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ พวกเราจะเป็นเพื่อนแท้กันตลอดไป.........




บันทึกสึนามิตอนที่9.................. พลังแห่งรัก

เข้าวันที่สาม ทุกคนยังตามหาฟิโอน่าอย่างไม่ย่อท้อ แม้บางคราจะรู้สึกสิ้นหวังกับภาพที่มองเห็นอยู่รอบๆ ตัว ผู้คนที่หลงเหลือรอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้ หลายๆ คนได้กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่อีกหลายๆ คนยังอยู่ อยู่เพื่อจะค้นหา อยู่เพื่อจะรอคอย อยู่เพื่อจะได้พบ แม้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณของคนที่พวกเขารัก

เพื่อนทุกคนเล่าให้ฟังว่า ในทุกสถานที่ที่ก้าวย่างเข้าไปตามหาฟิโอน่า ไม่ว่าจะเป็น ชายหาด โรงแรม สถานพยาบาล ศูนย์ให้ความช่วยเหลือต่างๆ ผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างก็ตกอยู่ในภาวะหัวใจแตกสลายด้วยกันทั้งสิ้น ชาวต่างชาติแต่ละคนส่งภาษาคุยกัน ให้กำลังใจและสร้างความหวังให้กันและกัน

ในขณะที่ชาวบ้านคนไทยหลายคน ส่งสายตาอบอุ่นผ่านมาให้พวกเขาเช่นกัน แม้ว่าจะสื่อสารด้วยภาษาไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนก็จะเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี เดวิดนั่งลงสวดภาวนาว่า ขอให้เขาและลูกได้เจอฟิโอน่า เขาพร่ำบอกทุกคนว่า " I will find her" "I do love her and she knows I do"

เขาขอกลับไปที่โรงพยาบาลพังงาในตัวจังหวัดอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ได้ไปมาแล้วสองครั้ง เขาหวังว่าอาจจะมีผู้บาดเจ็บเข้ามาใหม่ และในนั้นอาจมีฟิโอน่ารวมอยู่ด้วย แต่พอทุกคนไปถึง และตรวจสอบรายชื่อผู้บาดเจ็บที่เข้ามาใหม่ก็พบว่า ไม่มีชื่อของฟิโอน่าเช่นเดิม

ทุกคนเตรียมจะกลับไปที่ชายหาดอีกครั้ง แต่เดวิดบอกว่า เขาจะขออนุญาตหมอเข้าไปดูคนไข้หญิงทุกคน แม้ว่าจะไม่ใช่ชื่อฟิโอน่าก็ตาม พวกเราที่เป็นคนไทยต้องติดต่อประสานงานเข้าไป เป็นเรื่องซับซ้อนอยู่มากทีเดียว แต่ในที่สุดก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูได้เฉพาะคนไข้หญิงต่างชาติที่ไม่มีญาติมาเฝ้าเท่านั้น เขาเจอผู้หญิงหลายคน จากหลายประเทศ แต่ก็ยังหาตัวฟิโอน่าไม่เจอ

จนพยาบาลพาไปพบคนไข้หญิงรายหนึ่งที่ให้ชื่อไว้ว่า ซาร่า ซึ่งหมดสติมาตั้งแต่วันแรกที่มีคนนำส่งโรงพยาบาล ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้านหลัง และ ขาด้านขวาหักจนต้องเข้ารับการผ่าตัด ทันทีที่ทุกคนเปิดม่านเข้าไป พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า หญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้านั้น คือ ฟิโอน่า เดวิดโผเข้ากอดภรรยาตัวเอง ขณะที่เธอร้องหาแต่ลูกชายตัวน้อย และดูเหมือนจะยังไม่รับรู้อะไรมากมายนักเนื่องจากอาการช็อค และอาการบาดเจ็บที่ได้รับ

เดวิดรีบเรียกให้เอาแม็กซ์เวลล์เข้ามาหาฟิโอน่าทันที เพื่อให้แม่ลูกได้สัมผัสอ้อมกอดอันอบอุ่นของกันและกัน พวกเขาทุกคนรู้ว่ามีอะไรต้องทำอีกมากมาย กับอาการบาดเจ็บของฟิโอน่า แต่อย่างน้อยในวันนี้เราก็ได้ิสิ่งที่ดีที่สุด กลับมาแล้ว นั่้นคือ ภาพอันสวยงามของสามคนพ่อแม่ลูก ที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง..............


พวกเราขอส่งใจ ให้ทุกดวงใจที่ต้องสูญเสียในเหตุการณ์สึนามิ และรวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน เชื่อว่าความเจ็บปวดยังอยู่ในทุกอณูของหัวใจพวกคุณ แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ



เก็บตกสึนามิ

+++++ในคืนที่คุณยายลิซซี่ต้องดูแลแม็กซ์เวลล์ ด้วยเหตุว่าเดวิดต้องไปเฝ้าฟิโอน่าที่โรงพยาบาลนั้น แม็กซ์เวลล์เกิดร้องไห้หาแม่และพ่อกลางดึก คุณยายนั้นก็ดันพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น แถมล่ามพิเศษ(ลิซซี่) ก็หลับปุ๋ยไปซะแล้ว ก็ได้แต่ปลอบเป็นภาษาไทยไปต่างๆ นานา ภาพคุณยายไทยและหลานฝรั่ง สื่อสารกันด้วยใจกับภาษาใบ้นั้น ช่างน่าประทับใจดีแท้ และในที่สุดแม็กซ์เวลล์ก็หลับไปในอ้อมกอดคุณยายไทยได้โดยไม่ยากนัก..................(วันสุดท้ายที่ครอบครัวเดวิดบินกลับอังกฤษ คุณยายได้ดอกไม้ช่อโตแท

+++++ได้รับกอดอุ่นๆ จากแม่ของฟิโอน่า แทนคำขอบคุณที่ท่านอยากส่งผ่านถึงคนไทยทุกคนที่ช่วยเหลือลูกสาวท่าน

+++++วันแรกที่เจอเดวิดที่อังกฤษหลังสึนามิ เดวิดบอกว่า เฮ้ย ไอ้เพื่อนเกลอ คราวหน้าถ้ายูแนะนำให้ไปเที่ยวไหน ไอจะขอไปอีกที่หนึ่ง เอาให้ห่างๆ ที่ยูเสนอเลย ฮ่า ฮ่าเดวิดเขาล้อเล่นน่ะ(แต่ทำจริง)

+++++ก่อนไปฮอลิเดย์สึนามิ พวกเราสองครอบครัวคุยกันว่า เราจะพาลูกๆ ไปเที่ยวศรีลังกาในปีต่อไป แผนการอันนี้เป็นไอเดียของเดวิดซึ่งก็ได้รับการยกเลิกโดยผู้นำเสนอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

+++++ครอบครัวเดวิดไม่เหลืออะไรติดตัวกันเลย ยิ่งแม็กซ์เวลล์กับฟิโอน่านั้นแม้แต่เสื้อผ้าติดตัวก็ไม่เหลือ คุณยายลิซซี่หยิบเสื้อผ้าที่ดิฉันทิ้งไว้ที่เมืองไทยไปให้ฟิโอน่า ส่วนพี่ชายก็รีบนำเอาเสื้อผ้าของลูกชายมาให้แม็กซ์เวลล์ เมื่อทุึกคนกลับมาถึงอังกฤษแล้ว เดวิดและฟิโอน่าได้ออกปากประจาน เอ้ย ชื่นชมในรสนิยมการแต่งกายของดิฉันว่าเป็นเลิศทางแฟชั่นมั่กมั่ก ก็คุณยายเล่นหยิบเสื้อยืดที่ดิฉันเก็บสะสมไว้เมื่อตอนเป็นสาวๆ มาให้นั่นเอง ประมาณว่าลายที่หน้าอกเป็น วงดนตรีเฮฟวี่เมนทัล Gun n' Roses บางตัวก็เป็นหน้าพี่หงา คาราวานและพรรคพวก(ซึ่งก็หล่อๆ กันทั้งน้าน) เห็นคุณยายแก้ตัวว่าพยายามหาเสื้อยืดที่ตัวโคร่งๆไปให้จะได้ใส่สบาย ส่วนตัวสวยๆ หวานๆ ที่บ่งบอกความเป็นตัวดิฉันนั้น(กรุณาเชื่อด้วยค่ะ) คุณยายมิได้หยิำบไปให้เลย

+++++ขอบคุณ ปอเพื่อนรัก ที่แม้จะยุ่งกับงานมากแค่ไหนก็ยังสละเวลาไปเยี่ยมฟิโอน่าที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯแทนดิฉัน และขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ห่วงใยและเสนอน้ำใจช่วยเหลือครอบครัวเดวิดเมื่อตอนย้ายโรงพยาบาลจากพังงามาที่กรุงเทพฯ

+++++ขอบคุณ เพื่อนชาวต่างชาติที่โทรศัพท์เข้ามาถามไถ่ ว่าครอบครัว เพื่อนฝูงของเราที่เมืองไทยปลอดภัยกันดีไหม

+++++ขอบคุณแม้แต่บางคนที่ไม่คาดคิดว่าจะโทรมาอย่างพ่อแม่ของเพื่อนลิซซี่ทุกคน รวมถึงคุณครูที่โรงเรียน ที่เราแค่ทักทาย ยิ้มหวานให้กันในวันไปโรงเรียน แต่ก็พากเพียรหาเบอร์เราจนเจอ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำหรับคนไม่มีใจ

+++++ขอบคุณ จิลล์ วิกกี้กับสามี ซิลเวียและเจฟฟ์ ที่สลับกันมารับดิฉันไปอยู่ที่บ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่คนเีดียวในยามว้าวุ่น และทุกบ้านก็ให้ใช้โทรศัพท์ทางไกล ถือเป็น ช่วงโปรโมชั่นสึนามิ ใช้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง!

+++++ขอบคุณพี่ทับทิมคนขายตั๋วเครื่องบินที่ พยายามทุกวิถีทางที่่จะ เอาเงินค่าตั๋วและโรงแรมที่นครวัดนครธมคืน จากบางกอกแอร์เวย์ และพวกเราก็ได้นำไปบริจาคให้ผู้ประสบภัยอีกต่อหนึ่ง ถือว่าพี่เค้าก็ได้บุญกุศลนี้ไปด้วยค่ะ

+++++ขอบคุณพี่ชาย(ตัวเอง) ที่ช่วยเป็นธุระติดตามหาฟิโอน่าให้เหล่าฝรั่งต่างชาติ เห็นว่าบางคืนถึงกับsick หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าอ้วกแตกนั่นเอง(ต้องขออภัยที่ใช้คำไม่ค่อยสุภาพ)

+++++ลิซซี่ยังติดใจการลอยคออยู่ในทะเลของแม็กซ์เวลล์เป็นเวลาหลายชั่วโมงตราบเท่าทุกวันนี้